++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 22 กรกฎาคม 2552 15:44 น.
ลัทธิล่าอาณานิคมโดยมหาอำนาจตะวันตก
เป็นลัทธิที่พยายามหาความชอบธรรมจากศาสนา
โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจอันสำคัญที่ได้รับมอบจากพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยไถ่บาป
วิญญาณของผู้ซึ่งไม่ยอมรับพระผู้เป็นเจ้า แต่เลนินได้กล่าวว่า
ลัทธิล่าอาณานิคมที่มหาอำนาจตะวันตกยกทัพไปบุกประเทศที่อ่อนแอกว่าและปกครอง
แบบเมืองขึ้นนั้นเกิดจากลัทธิเศรษฐกิจทุนนิยมที่พัฒนาสูงสุด
มีความจำเป็นต้องหาดินแดนใหม่เพื่อหาตลาด วัตถุดิบ และค่าแรงที่ต่ำกว่า
ลัทธิล่าอาณานิคมจึงเป็นจุดพัฒนาสูงสุดของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

อีกมุมมองหนึ่งมองว่า ความสำเร็จของลัทธิล่าอาณานิคมเกิดจาก 3
ตัวแปรคือ ปืน (gun) เสื้อเกราะเหล็ก (steel) และเชื้อโรค (germ)
การมีอาวุธที่เป็นปืนไฟทำให้มีอำนาจเหนือคนท้องถิ่นอื่นที่มีแต่หอก
ธนูและดาบเป็นอาวุธ ซึ่งไม่สามารถจะเจาะเสื้อเกราะได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
ชาวท้องถิ่นทวีปละตินอเมริกาไม่สามารถต่อสู้กับทหารสเปนและโปรตุเกสที่ใส่
เสื้อเกราะ นอกจากปืนและเสื้อเกราะแล้วชาวตะวันตกจำนวนไม่น้อยก็นำเชื้อโรคมาเผยแพร่จน
เกิดการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหมู่คนท้องถิ่น
ทำให้ลดจำนวนประชากรในระดับหนึ่ง แต่กลับกัน
ผู้บุกรุกก็เจอกับเชื้อโรคต่างพื้นที่เช่นเดียวกัน

ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ลัทธิล่าอาณานิคมเกิดจากความไม่เท่าเทียมของอำนาจ (disparity of power)
ประเทศที่มีอำนาจทางทหาร มีการจัดตั้ง และมีอาวุธที่เหนือกว่า
ย่อมจะมีอำนาจมากกว่าประเทศที่อ่อนแอในโครงสร้างสังคม
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนไฟและเรือกลไฟอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมภายใต้ระบบทุนนิยม
จึงไม่สามารถจะต่อต้านกับมหาอำนาจได้
ประเทศมหาอำนาจก็หาเหตุในการอ้างเพื่อขยายอาณาเขตของตัวโดยอ้างศาสนาดังที่
กล่าวมาแล้ว ขณะเดียวกันก็อ้างความจำเป็นในการจัดระเบียบโลกเพื่อให้ประชาชนได้พัฒนา
รวมทั้งมีการติดต่อค้าขายตามครรลองที่ควรจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของมหา
อำนาจตะวันตกสมัยนั้น ก็คือการอ้างความเหนือกว่าทางอารยธรรมและศีลธรรม

ขณะเดียวกันก็มีเรือกลไฟซึ่งติดปืนใหญ่
รวมทั้งปืนสับนกและเสื้อเกราะ
ผนวกกับการจัดตั้งกองทหารที่มีลักษณะเป็นทหารอาชีพ
ทำให้การต่อสู้ภาคพื้นดินและปืนที่ยิงมาจากเรือสามารถสยบการต่อต้านได้
การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นจากความไม่เสมอภาค
โดยฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าใช้วิธีข่มขู่ว่าจะใช้กำลังเข้าโจมตี
ที่สำคัญที่สุดคือการใช้นโยบายการทูตแบบเรือปืน (gun boat diplomacy)
และนี่คือสิ่งที่ประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริกา
และละตินอเมริกาได้เผชิญมาในยุคล่าอาณานิคม
ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอันได้แก่
ประเทศจีนและอินเดีย
อินเดียนั้นตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและถูกปกครองประมาณสามศตวรรษ

ส่วนจีนนั้นแม้จะไม่เป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกแต่ก็มีลักษณะกึ่งเมือง
ขึ้นเพราะมีเขตเช่าให้กับมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี
และในบั้นปลายของประวัติศาสตร์ของยุคล่าอาณานิคมก็มีญี่ปุ่นเข้ามาร่วมด้วย
ทำให้เกิดหนึ่งศตวรรษของการเสียศักดิ์ศรีในประวัติศาสตร์จีน

ในกรณีของประเทศไทยนั้นจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก อันได้แก่
ฝรั่งเศสและอังกฤษซึ่งมุ่งเน้นในการเอาประเทศในอุษาคเนย์เป็นเมืองขึ้น
และท่ามกลางภยันตรายต่างๆ
นั้นราชอาณาจักรสยามซึ่งโชคดีมีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในทางการทูต
และมีพระเนตรอันยาวไกล ทำให้สามารถหลุดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาไปได้
โดยการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เริ่มตั้งแต่สมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4
ที่สำคัญคือในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สืบต่อโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่ก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยการสูญเสียดินแดนให้กับมหาอำนาจตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฝรั่งเศส
ยอมรับความขมขื่นจากการถูกคุกคามกดขี่จากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า
เนื่องจากการมีระดับการพัฒนาอาวุธในการสู้รบที่เหนือกว่า

ข้อเรียกร้องหลายข้อมีลักษณะของนักเลงหัวไม้โดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม
ทำนองเดียวกับหมาป่ากับลูกแกะ ส่งผลถึงการสูญเสียดินแดนต่างๆ
เพื่อแลกเปลี่ยนกับเอกราชของชาติ
และผลพวงของการสูญเสียดินแดนและการเข้ามายุ่มย่ามของมหาอำนาจตะวันตกใน
ลักษณะนักเลงหัวไม้ ทำให้มีผลต่อเนื่องแม้เมื่อไม่นานมานี้คือ พ.ศ. 2505
ในกรณีเขาพระวิหาร
ผลจากกรณีดังกล่าวส่งผลกระทบมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศ
กัมพูชามาในปัจจุบัน
สถิติการสูญเสียดินแดนของประเทศไทยนั้นโดยสังเขปสรุปได้ดังนี้ คือ

1. พ.ศ. 2329 อังกฤษยึดเกาะหมาก อันปฐมบทของการเสียดินแดนของไทย

2. พ.ศ. 2369 ไทยเสียเปรัคตามข้อตกลงในสนธิสัญญาเบอร์นี

3. พ.ศ. 2398 สนธิสัญญาเบาริงและการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของไทย

4. พ.ศ. 2410 เสียเขมรส่วนนอก
เมื่อเจ้ากรุงกัมพูชาทำสัญญายอมเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส

5. พ.ศ. 2431 ไทยเผชิญศึกฮ่อ
ฝรั่งเศสฉวยโอกาสยึดแคว้นหัวพันห้าทั้งหกและสิบสองจุไทไปจากไทย

6. พ.ศ. 2435
ไทยเสียหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าและหัวเมืองกะเหรี่ยงตะวันออกให้แก่อังกฤษ

7. พ.ศ. 2436 เหตุการณ์ ร.ศ.112 ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด

8. พ.ศ. 2446 ไทยเสียดินแดนฝั่งขวาบางส่วนให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจันทบูร

9. พ.ศ. 2449 ไทยเสียมณฑลเขมร (ศรีโสภณ พระตะบอง และเสียมราบ)
เพื่อแลกกับด่านซ้ายและตราด

10. พ.ศ. 2451 ไทยเสียรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้อังกฤษ

11. พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

ข้อที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ
ลัทธิล่าอาณานิคมแบบที่กล่าวมาข้างบนนี้คือระบบอาณานิคมแบบปกครองบริหาร
หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีทุนการศึกษาให้คนจากประเทศต่างๆ
ไปศึกษาในประเทศมหาอำนาจตะวันตก
ซึ่งในแง่หนึ่งก็ได้เปิดโอกาสให้มีการหลั่งไหลเข้าไปหาความรู้
วิทยาการต่างๆ ตั้งแต่ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง
จากการศึกษาดังกล่าวนั้นส่งผลในทางบวกก็คือทำให้มีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ
และประชาธิปไตยอันเป็นความรู้ที่ได้จากการศึกษาในประเทศต่างๆ เหล่านั้น
และเป็นเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ขบวนการชาตินิยม
มีขบวนการกู้ชาติกู้เอกราชด้วยการขับไล่มหาอำนาจตะวันตกเพื่อได้เอกราชและ
สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค

แต่ผลในทางลบก็คือ ผู้จบการศึกษาจากประเทศต่างๆ
เหล่านี้จำนวนไม่น้อยมีวิธีคิด ทัศนคติ
และใช้ความรู้ที่เรียนมาโดยหยิบทฤษฎีมาใช้ทั้งดุ้น
เสมือนหนึ่งเอาสัจธรรมคำสอนทางศาสนามาจากคัมภีร์
จนนำไปสู่สภาพของการตกเป็นเมืองขึ้นแบบใหม่ คือ อาณานิคมทางปัญญา จน
มีนักเขียนคนแอฟริกันคนหนึ่งกล่าวว่า
ในการประชุมของคนแอฟริกันซึ่งเป็นผู้นำของประเทศต่างๆ ในแอฟริกานั้น
ขณะที่เจรจาแม้ผู้พูดจะมีผิวดำแต่สำเนียงที่พูดออกมา โครงสร้างภาษาที่ใช้
ระบบความคิดและตรรกก็คือคนอังกฤษ คนฝรั่งเศส คนเยอรมัน คนเบลเยียม
หรือเจ้าอาณานิคมเก่านั่นเอง

แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การตกเป็นเมืองขึ้นทางภูมิปัญญา
นำไปสู่การตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจโดยไม่รู้ตัว
ดังจะเห็นได้ชัดจากสาขาวิชาสังคมศาสตร์ 2 สาขา สาขาแรกคือ เศรษฐศาสตร์
หลายคนมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจทุนนิยมหรือตลาดคือทางออกที่ดีที่สุด
จนครั้งเมื่อมีวิกฤตต้มยำกุ้งมาเลเซียไม่ยอมปล่อยอัตราการแลกเปลี่ยนลอยตัว

นักเศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวว่าผิดหลักเศรษฐศาสตร์
มาเลเซียต้องล้มภายใน 6 เดือน ซึ่งผิดอย่างมหันต์
และจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจแบบผสมผสานแบบจีนคือ
ทุนนิยมซึ่งควบคุมโดยรัฐในนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
และรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ผสมผสานกับระบบการเมืองที่มีเสรีภาพส่วนบุคคล
แต่อาจไม่มีสิทธิเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
ก็เป็นระบบที่เหมาะสมกับประเทศจีน นักเศรษฐศาสตร์ที่จบจากสหรัฐฯ
และยุโรปมีความคิดแนวเดียวกันหมดโดยไม่คำนึงถึงสภาวะที่แตกต่างของสังคมและ
ระเบียบทางเศรษฐกิจที่มหาอำนาจตะวันตกเอารัดเอาเปรียบประเทศที่ยากจน

สาขาบริหารรัฐกิจ หยิบยกเอาวิธีการบริหารรัฐกิจของสหรัฐฯ
หรืออังกฤษซึ่งระบบการเมืองมีการพัฒนาจนมีเสถียรภาพ
การบริหารรัฐกิจจึงตั้งอยู่บนฐานของสภาพแวดล้อมทางการเมืองดังกล่าว
จุดเน้นจึงอยู่ที่องค์กรการบริหาร
แต่ในกรณีประเทศไทยระบบการบริหารแบบใหม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรทางการเมือง
การมีหลักสูตรบริหารรัฐกิจที่ไม่สอนการเมืองไทยจึงเป็นการมองเป้าผิดอย่างมหาศาล
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ร่างหลักสูตรหยิบวิธีการเรียนการสอนของประเทศดังกล่าวมาทั้ง
ดุ้นโดยไม่คำนึงถึงตัวแปรอื่น
จึงทำการสอนแบบแปลจากตำราภาษาอังกฤษในลักษณะของอาจารย์คาราโอเกะ

ประเทศ กำลังพัฒนาต้องหยุดคิดคำนึงถึงผลเสียของลัทธิเอาอย่างหรือการหยิบทฤษฎีมา
ทั้งดุ้นเสมือนหนึ่งเป็นคัมภีร์ในศาสนาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนและเพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมทางปัญญา
และเศรษฐกิจต่อไป

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082914

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น