++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:พ.ร.บ.สภาเกษตรกร : ชานชาลาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

เวทีนโยบาย:พ.ร.บ.สภาเกษตรกร : ชานชาลาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์
โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


ขณะกระดูกสันหลังประเทศไทยคือเกษตรกรรม
หากเกษตรกรไทยกลับคงยังยากจนข้นแค้นเสมอมานับแต่บรรพกาล
ยิ่งห้วงปัจจุบันยิ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามปริมาณการซื้อปุ๋ยเคมีและยาฆ่า
แมลงเพื่อเพิ่มผลผลิตปริมาณมากๆ ตามกระบวนทัศน์การปฏิวัติเขียว (Green
Revolution) ซึ่งพึ่งพาระบบชลประทาน เมล็ดพันธุ์ผลผลิตสูง ยากำจัดแมลง
และเคมีภัณฑ์

ถึงแม้นวัตกรรมพืชพันธุ์มหัศจรรย์ผลผลิตสูงจักคลี่คลายภาวะ
ทุพภิกขภัยในช่วงทศวรรษ 1960-1970
จนประชาชนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกรอดพ้นภาวะทุพโภชนาการ
ทว่าการปฏิวัติเขียวก็ทิ้งมรดกหายนะไว้มหาศาล
ตั้งแต่ทลายวิถีเกษตรกรรมดั้งเดิมจากการเกษตรเชิงเดี่ยว (Monoculture)
สลายความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Erosion)
จากการเลิกปลูกพืชพันธุ์พื้นเมือง
สุขภาพเสื่อมทรุดจากการบริโภคพืชผักปนเปื้อนสารพิษ
จนถึงสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจากการละโมบโหมใช้

การกลับมาของข้าวยากหมากแพงหรือขาดแคลนอาหารที่รุนแรงเลวร้ายขนาด
ประชากร 1 ใน 6 ของโลกหรือราว 1.02
พันล้านคนอดอยากหิวโหยตามการประเมินของ FAO จึงถึงจุดทบทวนปฏิวัติเขียว
ที่ต้องกระทำควบคู่กับคำนึงถึงภาวะโลกร้อน ขีดจำกัดทรัพยากรธรรมชาติ
และจำนวนประชากรโลกที่ทวีถึง 7.67 พันล้านคนใน ค.ศ. 2020
เฉพาะทวีปแอฟริกาดินแดนแห่งความหิวโหยก็ราว 1.27 พันล้านคน
ตามคาดการณ์ของ United Nations Population Division 2008

ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่ถึงประชากรจะเพิ่มเป็น 71.44
ล้านคนในปีเดียวกันนั้น กระนั้นด้วยผืนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์
สภาวะขาดแคลนอาหารอาจเกิดขึ้นได้ยากมากกว่าข้าวยากหมากแพง

แต่ทั้งนี้ก็มีเงื่อนไขคือนับต่อจากนี้รัฐบาลต้องบริหารจัดการภาคการ
เกษตรอย่างชาญฉลาดด้วยการหาจุดสมดุลระหว่างพืชพลังงานกับพืชอาหาร
การทุ่มงบประมาณการเกษตรมากขึ้น การขจัดคอร์รัปชันเชิงนโยบาย
และที่สำคัญสร้างเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy)
ภาคการเกษตรเพื่อรองรับกระแสโลกาภิวัตน์ เทรนด์รักษ์สุขภาพ
และความอยู่รอดของเกษตรกรรายย่อย

ภาค เกษตรกรรมไทยจักยืนหยัดบนโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ได้ก็ต่อเมื่อ
ปฏิวัติระบบเกษตรกรรมปัจจุบันให้ได้เสียก่อน
เพื่อไม่ให้เกษตรกรส่วนใหญ่ตกใต้อาณัติอิทธิพลเกษตรพันธสัญญา (Contact
Farming) ที่ทิ้งมรดกหนี้สินรุ่นต่อรุ่นจนเริ่มต้นใหม่ในวิถีถูกต้องยั่งยืนไม่ได้แม้
มีต้นแบบที่ดี

เพราะลำพังการมีเกษตรกรจำนวนหนึ่งที่ถึงทุ่มเททำเกษตรอินทรีย์จนได้
ผลผลิตสูงเพียงใด หากไร้เสียซึ่งการขานรับระดับนโยบายของรัฐบาลเสียแล้ว
การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเศรษฐกิจการเกษตรภาพรวมย่อมยากเป็นจริง
ดังนั้นรัฐควรกำหนดนโยบาย วางแผนสนับสนุน
สร้างเครือข่ายสังคมและโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงระบบการศึกษา
และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่ต่างกัน

หนึ่งทางออกคือภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ที่เป็นนวัตกรรม
(Innovation) สอดคล้องกับเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพราะสามารถผสานวัฒนธรรม
เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างลงตัวจนนำความเปลี่ยนแปลงทางบวกมาสู่ประเทศ
ชาติและตัวเกษตรกรได้
ไม่เหมือนกับเกษตรกรรมอุตสาหกรรมที่ขณะทำกำไรให้บรรษัทเกษตรกรรมงดงาม
เกษตรกรรายย่อยกลับย่อยยับขาดทุน

ส่วนกลไกเปิดกว้างประตูเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ภาคการเกษตรนอกจากคำ
มั่นสัญญาทางการเมืองประเภทกำหนดเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติเพื่อพัฒนา
ศักยภาพการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยให้เป็นครัวโลกสมัยรัฐบาลทักษิณ
ชินวัตร จนถึงโครงการครีเอทีฟ อีโคโนมี
พัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว
แผนยุทธศาสตร์พัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2551-2554
เพื่อพัฒนาการเกษตรของไทยอย่างยั่งยืนยังน่าจับตา

ทว่าวาดหวังได้จริงๆ น่าจะเป็นการอนุวัติการ 'พ.ร.บ.สภาเกษตรกร'
ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (8)
ที่มุ่งคุ้มครองผลผลิตและการตลาดของเกษตรกร
ตลอดจนส่งเสริมการรวมกลุ่มในรูปสภาเกษตรกร
เพราะสามารถพิทักษ์สิทธิเกษตรกร (Farmers' Rights)
อย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการเข้าถึงและครอบครองปัจจัยการผลิต
การใช้ประโยชน์ทรัพยากรสาธารณะ การได้รับผลตอบแทนเพียงพอเป็นธรรม
รวมถึงการรักษาฟื้นฟูวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตน

ตลอดจน พ.ร.บ.สภาเกษตรกรฉบับประชาชนยังเปิดกว้างแก่เกษตรกรทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วน
ร่วมคัดเลือกตัวแทนโดยตรง
ส่วนสภาเกษตรกรก็มีอำนาจหน้าที่จัดกิจกรรมพัฒนาสิทธิเกษตรกรด้วยการทำแผนแม่
บทและนโยบายสาธารณะเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลโดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองจากหน่วย
งานใดๆ รวมทั้งยังมีกองทุนสำหรับบริหารงานอย่างอิสระด้วย

พ. ร.บ.สภาเกษตรกรจึงเป็นกลไกเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์สำคัญสุด
เพราะเป็นฐานสำหรับรวมกลุ่มเกษตรกรในระดับพื้นที่และประเภทผลผลิตต่างๆ
อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่จะผนึกทักษะความสามารถของบุคคลเข้ากับ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นลงตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รังสรรค์เศรษฐกิจมิติอื่นๆ
ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นยา เครื่องสำอาง และอาหารเสริม
จากกระบวนการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value added)

เพราะเฉพาะผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ก็ราคาในตลาดโลกสูงกว่าผลผลิตจาก
สายพานเกษตรกรรมสมัยใหม่มาก ยิ่งถ้าผ่านกระบวนการสร้างคุณค่า (Value
Creation Process) จนกระทั่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจของลูกค้า
(Customer Value & Satisfaction) ได้
ท้ายสุดธุรกิจการเกษตรไทยก็จะได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive
Advantage) โดยที่เกษตรกรรายย่อยไม่ต้องเสียเปรียบเหมือนก่อน
เพราะไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนเพื่อขาดทุนต่อเนื่อง

ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness)
ด้านเศรษฐกิจการเกษตรจนตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเวทีโลกได้เหนือ
ประเทศคู่แข่งขันจึงเรียกร้องรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์เชื่อมโยงของดีของไทย
เข้ากับโอกาสทางธุรกิจ เท่าๆ
กับปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการเหมือนกับเกาหลีใต้ที่ลงทุนอุตสาหกรรม
วัฒนธรรม (Culture Industry)
จนเกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่นำรายได้มหาศาลเข้าประเทศจากการท่องเที่ยว
อาหาร แฟชั่น ดนตรี ละคร และภาพยนตร์ หรือนิวซีแลนด์ที่ร้อยละ 65
ของนักท่องเที่ยวมาเพราะประทับใจภาพยนตร์ The Lord of the Rings

หากแต่ไทยจะมั่งคั่งยั่งยืนกว่าเพราะ 'ยา-อาหาร' เป็นสินค้าปัจจัย
4 ฉะนั้นครัวโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ถ้าบริหารดีๆ
ก็จะมีเม็ดเงินเข้าประเทศมากมายจากการท่องเที่ยวและส่งออก

ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมที่ผ่านการเพิ่มมูลค่ามาจึงเป็นชานชาลา
(Platform) ของกระบวนการสร้างคุณค่าที่ประเทศไทยไม่อาจพลาดถ้าปรารถนาเป็นทั้งผู้นำตลาด
สินค้าเกษตรและผู้กตัญญูรู้คุณกระดูกสันหลังของชาติ
ไม่ใช่สักแต่ส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกข้าวตามแนวคิดปฏิวัติเขียวมากๆ
เพื่อส่งออกในรูปวัตถุดิบ
ที่ถึงจำนวนมโหฬารเพียงใดก็ได้เม็ดเงินน้อยนักเมื่อเทียบกับแปรรูปแล้ว
และนับวันก็จะถูกสินค้าเกษตรคู่แข่งที่ต้นทุนต่ำกว่า
แต่คุณภาพใกล้เคียงกันแย่งส่วนแบ่งตลาด

ความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้ในเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อต่อยอดข้าวไทยให้
แข่งขันกับต่างชาติได้จึงต้องวิจัยและพัฒนา (R&D) ออกแบบ (Design)
อย่างยึดโยงกับทุนทางวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาผ่านเรื่องเล่าท้องถิ่นที่สอด
คล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่รักษ์สุขภาพมากขึ้น ควบคู่กับขจัดข้อจำกัด
(Constraint) ทั้งภายในและนอกประเทศ
โดยเฉพาะที่คนไทยไม่ภาคภูมิใจในการบริโภคข้าวไทย
ไม่กรุ่นกลิ่นธรรมชาติข้าวหอมมะลิเท่ากับกลิ่นสังเคราะห์แฮมเบอร์เกอร์
อย่าว่าแต่เวลาเปิบข้าวทุกคราวคำจะนึกถึงหยาดเหงื่อเขียวคาวชาวไร่ชาวนาข้าง
หลังตามกาพย์ยานี 11 ของจิตร ภูมิศักดิ์เลย

เกษตรอินทรีย์ที่เป็นส่วนผสมสินทรัพย์วัฒนธรรม ความสร้างสรรค์
เศรษฐกิจต้นทุนต่ำกำไรสูง
และเทคโนโลยีพื้นฐานจึงสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจการเกษตรของไทยได้ในวัน
วิกฤตอาหารโลกและทุนนิยมล่มสลาย
หากไม่พลาดรถไฟสายนี้เสียก่อนเพราะมัวเมาแต่โดยสารสายปฏิวัติเขียวขื่นคาว

การ หยุดยืนถูกที่ถูกเวลา ณ 'ชานชาลาเศรษฐกิจสร้างสรรค์'
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรภาคประชาชนจึงนับเป็นห้วงโอกาสเดียวที่ประเทศไทยจะจับรถไฟ
สายเกษตรกรรมยั่งยืนที่มีสถานีปลายทางเป็นการปฏิวัติเขียวที่เขียวกว่าเดิม
ได้-ไม่ผิดหรือตกขบวนอีกต่อไป

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000078848

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น