++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อรายการทีวีไทย "ตบหน้า" ไมเคิลกลางงานพิธีไว้อาลัย กับความคล้ายกันระหว่าง "ผู้วิจารณ์" และ "ผู้ถูกวิจารณ์"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เมื่อ คืนวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นโชคดีของแฟนเพลง "ไมเคิล
แจ็กสัน" ในเมืองไทย ที่มีสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีถึง 2 ช่อง
ตัดสินใจถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัยที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ใจกลางนครลอสแองเจลิส

เหตุผลหนึ่งก็คือ เป็นช่วงเวลาที่ไม่ไปคาบเกี่ยวกับโปรแกรมอื่นๆ
ของสถานี จากความแตกต่างของเวลาที่เมืองไทย และสหรัฐฯ และอีกประการ ก็คือ
เป็นงานรำลึกให้กับศิลปินที่ได้ชื่อว่าโด่งดังที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรีโลก
ที่จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน
จนกลายเป็นข่าวโด่งดังแทบทุกวันเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์มานี้
ไม่เว้นแม้แต่ที่เมืองไทย

ผู้เขียนซึ่งเป็นแฟนเพลงของ ไมเคิล แจ็กสัน ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ
คน ที่ไม่มีเคเบิลทีวีและไม่มีอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วพอจะดูพิธีดังกล่าวได้
อย่างสะดวก การได้ชมพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการเพลงประจำปีนี้ทางฟรีทีวี
ถือเป็นข่าวดีสำหรับแฟนเพลงที่เป็นผู้ชมทางบ้านอย่างมาก

เหตุผลที่การชมพิธีไว้อาลัยครั้งนี้ มีความสำคัญ
นอกจากผู้ชมทั่วไปจะได้เห็นพิธีกรรมของคนที่อยู่ข้างหลังไว้อาลัยต่อการจาก
ไปของศิลปินที่ได้ชื่อว่ามีแฟนเพลงรักใคร่อยู่ทั่วโลกแล้ว
มันยังเป็นการบำบัดความเศร้าอย่างหนึ่งของผู้ที่เป็นแฟนเพลงของ ไมเคิล
แจ็กสัน โดยเฉพาะ กว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่พวกเขาต้องเผชิญกับการสูญเสียที่ไม่ได้ตั้งตัวกันตามลำพัง
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้มีส่วนร่วมในการไว้อาลัยกันอย่างเป็นทาง
การ เพื่อร่วมรับรู้ถึงความทรงจำดีๆ
ของผู้ที่จากไปจากคำบอกเล่าผ่านครอบครัว และเพื่อนสนิทของ ไมเคิล
ที่ต่างเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการ
ซึ่งถือเป็นแหล่งข่าวที่ "น่าเชื่อถือ"
ในการออกมาเล่าประสบการณ์ที่พวกเขาเคยรู้จักกับไมเคิลระหว่างที่เขายังมี
ชีวิตอยู่

งาน ครั้งนี้จึงถือเป็นการ Grief Relief อย่างเป็นทางการ
ร่วมกันของผู้คนที่ผูกพันกับ ไมเคิล แจ็กสัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไม่ต่างจากจุดประสงค์ของพิธีการร่วมญาติในงานศพ ที่แขกแต่ละคนจะมาร่วม
Tribute ให้กับคุณงามความดีของผู้ที่จากไป

คืนนั้นมีสถานี 2 ช่องถ่ายทอดสด ช่องแรกคือ ไทยทีวีสีช่อง 3
ซึ่งอยู่ในช่วงของข่าววันใหม่พอดี ดำเนินรายการโดย ชิบ จิตนิยม
ที่ตามติดทำสกู๊ปเกี่ยวกับไมเคิลมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่เขาเสียชีวิต
ซึ่งในวันนั้นโปรดิวเซอร์รายการจะเน้นไปที่การสัมภาษณ์นานาทัศนะของบุคคล
ต่างๆ ในเมืองไทยที่มีต่อตัวไมเคิล
โดยใช้ภาพบรรยากาศในงานเป็นเพียงแค่ตัวเสริม
ก่อนจะตัดเข้าข่าวอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งจอเล็กๆ
เอาไว้เผื่อรอดูว่ามีเหตุการณ์อะไรที่สำคัญเท่านั้น

ต่างกับของช่อง Thai PBS ที่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสัญญาณอย่างสมบูรณ์
และที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจดูช่องนี้ตั้งแต่ช่อง 3 ยังไม่ตัดเข้าข่าว
ก็คือ คอมเมนเตเตอร์ที่มาร่วมในรายการอย่าง มาโนช พุฒตาล

ถ้า เอกราช เก่งทุกทาง คือ
ผู้ที่เชี่ยวชาญในแวดวงลูกหนังต่างประเทศมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
มาโนช พุฒตาล ก็ถือเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงดนตรีสากลอย่างโชกโชนมากที่สุดคนหนึ่งของ
เมืองไทยไม่แพ้กัน
การได้ผู้ที่ทรงคุณวุฒิเช่นนี้มาร่วมในงานที่สำคัญแบบนี้
จึงถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ชมทางบ้านในการเรียนรู้วัฒนธรรมของดนตรีอเมริกัน
ผ่านพิธีไว้อาลัยครั้งนี้

แต่ เมื่อพิธีค่อยๆ ดำเนินไป
ความรู้สึกที่จะได้ซึมซับความทรงจำที่ดีจากตัวงานผ่านการถ่ายทอดของช่อง
Thai PBS ในความรู้สึกของผู้เขียนและแฟนเพลงอีกหลายๆ คนที่ยอมนอนดึก
เพื่อพิธีครั้งนี้ กลับถูกทำลายลงอย่างป่นปี้ จากปัจจัยอันบกพร่องหลายๆ
อย่างจากตัวผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คนในคืนนั้น

เริ่มจากพิธีกรชายหญิงของรายการที่อาชีพหลัก คือ
การเป็นผู้ประกาศข่าว
ซึ่งคงจะเคยชินกับการรายงานข่าวที่มีผู้เตรียมข้อมูลเอาไว้เป็นอย่างดี
ทำให้การมารับหน้าที่บรรยายพิธีในงานที่สดอย่างนี้
มีความบกพร่องออกมามากมาย
โดยเฉพาะเรื่องคิวในการสอดแทรกความคิดเห็นระหว่างพิธี

ผู้ดำเนินรายการที่ดีในการบรรยายพิธีสดที่มาจากต่างประเทศ
นอกจากจะต้องมีความรู้ด้านภาษาที่ดีแล้ว
จังหวะในการสอดแทรกคำแปลที่ถูกต้องก็มีความสำคัญอย่างมากต่อการรับชม คือ
ถ้าไม่สามารถแปลทุกอย่างที่มีคนมาพูดในพิธีให้ผู้ชมทางบ้านเข้าใจได้อย่าง
สมบูรณ์ วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ การจับใจความสำคัญของแต่ละช่วงของผู้พูด
แล้วนำเสนอให้กับผู้ชมในเมืองไทยได้รับทราบโดยไม่ขัดจังหวะผู้พูด
เช่นกล่าวสรุปตอนที่หยุดพูดเพื่อเสียงปรบมือ

แต่สิ่งที่ผู้ดำเนินรายการทั้งสองคนทำหลายครั้ง ก็คือ
พยายามแปลประโยคที่ตัวเองเข้าใจเอาไว้ก่อน
พอเห็นประโยคไหนที่พอจะเข้าใจได้ก็พูดเสริมทันทีเหมือนพยายามจะไม่ต้องการ
ให้ขาดเสียงภาษาไทยในรายการนานเกินไป
จึงกลายเป็นการถอดความเพื่อความสะดวกของผู้บรรยาย
มากกว่าจะจับใจความสำคัญของผู้พูดที่จะสื่อออกมา
เพราะบ่อยครั้งที่บทบรรยายที่ "ไม่สำคัญนัก" ได้ถูกพูดออกไปทับกับช่วงที่
"สำคัญกว่า" ในสุนทรพจน์ของแขกแต่ละคน
โดยที่ผู้ดำเนินรายการดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัว และทำแบบนี้ตลอดทั้งรายการ

ข้อน่าตำหนิของโปรดิวเซอร์รายการในการเลือกผู้ประกาศข่าวทั้งสองมา
ดำเนินรายการทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีความรู้ในด้านดนตรีสากลมากพอ
ทั้งสองคนจึงใช้ความไม่มั่นใจในเรื่องดนตรี
บวกกับการขาดความเตรียมพร้อมในข้อมูลที่เพียงพอ
ด้วยการยกหน้าที่ทั้งหมดให้ตกเป็นของแขกรับเชิญในการบรรยายอย่างคุณมาโน
ชอยู่ตลอดทั้งรายการ ตั้งแต่คำถามเชิงลึกในเรื่องอุตสาหกรรมดนตรี
จนถึงคำถามเล็กๆ น้อยๆ เกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงาน ซึ่งจริงๆ
แล้วควรจะเป็นหน้าที่ของพิธีกรหลักในการสรุปภาพรวมของงานมากกว่าจะถามความ
เห็นของแขกรับเชิญเพียงคนเดียว

ซึ่งการเชิญ มาโนช พุฒตาล มาเป็นผู้แสดงทัศนะในวันนั้น
ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การถ่ายทอดพิธีไว้อาลัย ไมเคิล แจ็กสัน
ในเมืองไทยกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายของผู้ชมส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนเพลงของ
ไมเคิลอย่างแท้จริง

แค่เริ่มรายการ หายนะก็เห็นอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เมื่อผู้ที่รายการเลือกมาแสดงทัศนะในพิธีครั้งนี้
กลับออกตัวตั้งแต่ก่อนเข้าพิธีว่า "ไม่ได้เป็นแฟนเพลงของ ไมเคิล แจ็กสัน"

เรื่องนี้คนที่รู้จักตัวคุณมาโนชจะรู้ดี
เพราะเนื้อแท้แล้วคุณมาโนชเป็นผู้หลงใหลในดนตรีในสายพันธุ์ร็อกเป็นหลัก
ซึ่งในมุมมองทั่วไปของคนที่ชื่นชอบดนตรีแนวนี้
จะไม่ค่อยแยแสดนตรีป๊อปเท่าไหร่
ซึ่งในความคิดของขาร็อกบางรายแล้วดนตรีป็อปไม่ต่างอะไรกับ "ศัตรู"
ในฐานะที่ใช้ความ "อ่อนหวาน" ในการเข้าถึงแฟนเพลง
ซึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า ต่างกับธรรมชาติของเพลงร็อกที่ใช้ความ
"ดุดัน" ในการครองใจแฟนเพลง
และเพลงร็อกมักว่าจะถูกมองว่าเป็นดนตรีที่ให้สาระกับคนฟังมากกว่า ทั้งๆ
ที่ความเป็นจริงแล้ว แนวดนตรีมีอิทธิพลน้อยมาก
เมื่อเทียบกับทักษะและความจริงใจในการนำเสนอผลงานของตัวศิลปินเอง

(ซึ่งที่จริงแล้วไมเคิลถือเป็นศิลปินเพลงป็อปที่มี
"ธาติความเป็นร็อก" อยู่ในเพลงของเขาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Scream, They
Don't Care About Us
ขณะที่คงจะไม่สามารถหาท่อนโซโลไหนจะสมบูรณ์แบบไปกว่าการ two-handed
tapping ในช่วงที่ท็อปฟอร์มที่สุดของ เอ็ดดี แวน เฮเลน ในเพลง Beat It
ได้แล้ว เพลงอย่าง Give In To Me ถ้าเปลี่ยนเสียงร้องให้เป็น แอ็กเซล โรส
ก็สามารถนำไปรวมในชุด Use Your Illusion ได้อย่างไม่เคอะเขิน)

ในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่งของรายการบันเทิงคดีของคุณมาโนช (สมัยช่อง
11) ยอมรับว่าตั้งแต่ดูมาแทบจะไม่เคยเห็นเอ็มวีของไมเคิลออกในรายการของคุณมาโน
ชเลย (จำได้ว่าอาจจะเคยฉาย We Are The World บ้าง กับตอนที่ Black or
White ออกใหม่ๆ)
แต่กระนั้นผู้เขียนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสไปดูการแสดง
คอนเสิร์ตที่เมืองไทยของไมเคิลเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว
ก็เห็นคุณมาโนชเป็นหนึ่งในคนดูของคอนเสิร์ตครั้งนั้นด้วย
(เห็นแกนั่งรอชมอยู่ด้านกลางๆ สนาม เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นบัตรสื่อมวลชน)

มัน ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นในการที่จะชอบหรือไม่ชอบศิลปินคนไหน
แต่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า ประโยคที่ว่า "ไม่ได้เป็นแฟนเพลงของ ไมเคิล
แจ็กสัน" ควรจะพูดเปิดรายการ
หรือควรจะพูดตั้งแต่ทีมงานโทรไปขอความช่วยเหลือให้มาแสดงทัศนะในคืนวันนั้น
กันแน่

ซึ่งถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นในลักษณะที่สอง
จึงน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า
โปรดิวเซอร์รายการถ่ายทอดสดในคืนนั้นมีจุดประสงค์อะไร
ที่ตัดสินใจเอาเวลาที่ได้จากการถ่ายทอดพิธีไว้อาลัยของศิลปินที่โด่งดังที่
สุดในโลก โดยเลือกผู้ที่มาแสดงทัศนะในรายการที่แทบจะไม่รู้จักหรือแม้แต่จะรู้สึก
"ศรัทธา" ในความเป็นศิลปินเจ้าของงานแม้แต่น้อย

มันไม่ต่างกับพิธีไว้อาลัยสุนทรภู่
แต่ได้ผู้เชี่ยญชาญในผลงานของเช็คสเปียร์ที่ไม่เคยชื่นชอบในกาพย์กลอนมา
ดำเนินรายการ เหมือนกับพิธีไว้อาลัยของ อากิระ คุโรซาวะ
แต่ได้ผู้เชี่ยวชาญหนังฮอลลีวูดที่ไม่เคยดูหนังคลาสสิกของญี่ปุ่นมาดำเนิน
รายการ

เมื่อ ตราชั่งที่เที่ยงตรง ถูกนำไปใช้วัดความยาวของถนน
เมื่อความมั่นใจตัวเองเกินร้อยของคอมเมนเตเตอร์
ผสมโรงกับความไม่รู้ของผู้ดำเนินรายการถึง 2 คน สิ่งที่แฟนๆ
หวังจะได้เห็นในคืนแห่งการไว้อาลัยราชาเพลงป๊อปผู้จากไป
จึงกลายเป็นบทพิสูจน์ความอดทนของแฟนเพลงแบบไม่ได้ตั้งตัว

ในงานไว้อาลัยครั้งนี้ ถ้าผู้ชมสังเกตให้ดี
ความพิเศษในสุนทรพจน์ที่แขกแต่ละคนออกมาพูดถึงตัว ไมเคิล แจ็กสัน
นอกเหนือจากคุณงามความดีของเขาแล้ว
มันยังเป็นความพยายามของแต่ละคนที่ต้องการให้ผู้ชมทางบ้านได้รู้จักเขาใน
ฐานะ "มนุษย์ธรรมดา" คนหนึ่งให้มากที่สุด หลังจากที่เส้นทางอาชีพของเขา
ทำให้เราเห็นเขาเป็นเพียงซูเปอร์สตาร์มานานนับปี
คืนนั้นเราได้รับรู้ถึงชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายของผู้ที่ได้ชื่อว่า
เป็นราชาเพลงป๊อป ที่ผู้ชมไม่มีวันรับรู้เรื่องราวเหล่านี้จากสื่อไหนๆ

แต่ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คนของคืนนั้น
กลับพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ พยายามยัดเยียดมุมมองความเป็น
"เอเลี่ยน" ของไมเคิลอยู่ตลอดเวลา
คิดเผื่อว่าผู้ชมทางบ้านที่ติดตามอยู่จะพลาดสิ่งเหล่านี้ไป

ทั้งตัวพิธีกรนักข่าวทั้งสองที่ไม่ยอมไปไหนนอกจากจะวนเวียนเรื่องของ
สีผิวของผู้ที่มาร่วมงาน และพยายามโยงเข้าเรื่องการเมืองของสหรัฐฯ
ที่ตัวเองพอจะมีความรู้บ้าง
เพราะว่าที่นั่นเพิ่งได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรก
ด้วยคิดว่าข้อมูลดังกล่าวจะทำให้ผู้ชมทางบ้านที่ไม่ใช่แฟนเพลงที่กำลัง
ติดตามชมอยู่น่าจะเข้าใจความสำคัญของพิธีได้มากขึ้น

เปิดทางให้คุณมาโนช
วกเข้าสู่ประเด็นเรื่องผิวสีที่เปลี่ยนแปลงไปของไมเคิล
โดยผู้ดำเนินรายการทั้ง 3
คนต่างแสดงทัศนะอย่างเชื่อหมดใจว่าไมเคิลจงใจเปลี่ยนแปลงสีผิว
เพราะไม่พอใจความเป็นคนดำของตัวเอง
โดยไม่มีความเห็นช่วงไหนเลยที่ผู้ฟังจะได้ยินเรื่องราวของโรค "ด่างขาว"
อยู่ในบทสนทนาของคนทั้งสาม

แต่แทบจะไม่สำคัญแม้แต่น้อย ว่า จริงๆ
มันมันจะเป็นเพราะโรคด่างขาว หรือไมเคิลจงใจลอกผิวตัวเองให้เป็นคนขาว
เพราะมันไม่ได้ให้สาระกับผู้ชมที่ต้องการดูพิธีไว้อาลัยครั้งนี้สักนิด
ยิ่งการแสดงทัศนะบนความรู้ความเข้าใจที่คลุมเครือ
ยิ่งจะนำไปสู่บทสรุปที่คลาดเคลื่อนมากขึ้นไปอีก
จนถึงขั้นที่พิธีกรหญิงต้องการข้อสรุปของความขาวบนผิวของไมเคิลจากทัศนะของ
คุณมาโนชให้ได้ ซึ่งเขาก็ตอบกลับด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงว่า
"สงสัยเขาคงอยากลองมั้งครับ"

ไม่รู้ว่าเป็นความผิดของ ไมเคิล แจ็กสัน
หรือเปล่าที่เกิดมาเป็นคนผิวสี และทำให้แขกในงานส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี
ซึ่งไปสะดุดความสนใจของพิธีกรทั้งสองจนจับมาเป็นประเด็นอย่างไม่หยุดหย่อน
จนเกิดเรื่องตลกครั้งที่ 1 ระหว่างการถ่ายทอดในวันนั้น
เมื่อช่วงที่ทั้งสองพยายามจับประเด็นเรื่องสีผิวของคนในงานอย่างเข้มข้น
โดยกำลังชี้อยู่ว่าผู้ที่ขึ้นเวทีมีแต่ชาวผิวสี
แขกรายต่อมาคงทำให้ทั้งคู่ที่แสดงทัศนะไปอึ้งเล็กน้อย
เมื่อเป็นมือกีตาร์ผิวขาวอย่าง จอห์น เมเยอร์ ขึ้นมาบรรเลงกีตาร์ในเพลง
Human Nature ซึ่งถ้าตามข่าวกันมาแต่แรกคงไม่แปลกใจเพราะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่จะมา
ขึ้นเวทีกันแต่เนินๆ แล้ว และแน่นอนว่าไม่ได้มีแต่ชาวผิวสี
(พอจบเพลงคุณมาโนชก็ช่วยพิธีกรทั้งสองด้วยการวกกลับมาที่เรื่องผิวสี
โดยเน้นให้เห็นว่าสไตล์การเล่นของจอห์น เมเยอร์ คือ ดนตรีบลูส์
อันเป็นผลิตผลของคนดำ
ซึ่งอาจทำให้คนผู้ชมสงสัยไม่หายว่ามันมีอิทธิพลพอที่จะทำให้เขากลายเป็น
หนึ่งในแขกที่มาร่วมไว้อาลัยในวันนั้นเชียวหรือ)

เรื่องประเด็นผิวสีของแขกในงานนั้นไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน
เพราะถึงแม้ไมเคิลจะร่วมงานกับผู้คนมากมาย
แต่เจ้าภาพงานอย่างครอบครัวของเขาอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกับบุ
คเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยเวลาที่จำกัดทั้งการเตรียมงานและเวลาในพิธี
จึงทำให้แขกที่มาในงานวันนั้น นอกจากจะเป็นคนที่ไมเคิลรู้จักแล้ว
ยังต้องเป็นคนที่ครอบครัวของเขาเข้าถึงได้ด้วย
ซึ่งข้อสังเกตของพิธีกรครั้งนี้คงจะหมดไป
ถ้าเป็นงานศพของคนขาวที่มีแต่แขกผิวขาว
แบบเดียวกับความธรรมดาของงานศพคนไทยที่มีแต่คนไทย
งานศพคนเกาหลีที่มีแต่คนเกาหลี ฯลฯ
ซึ่งข้อสังเกตของพิธีกรในจุดนี้ก็นำไปสู่คำถามคล้ายๆ
เดิมต่อคุณมาโนชว่าเคยเห็นพิธีที่ชาวผิวสีร่วมใจกันมากอย่างนี้มาก่อนไหม
ซึ่งเขาตอบได้เพียงว่า "ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน"

การพยายามเออออกันระหว่างพิธีกรและคุณมาโนชในที่สุดก็พิสูจน์ว่าไม่
สามารถใช้ได้ตลอดรอดฝั่ง จากตอนที่ บรูก ชีลด์ส
ออกมาพูดถึงความผูกพันที่เธอมีต่อไมเคิล
ก่อนจะปิดท้ายถึงเพลงที่ไมเคิลชอบที่สุดอย่าง Smile ของ ชาร์ลี แชปลิน

แม้ บรูก ชีลด์ส
จะอธิบายอย่างชัดเจนว่าเพลงนี้มีความหมายลึกซึ้งแค่ไหน แต่ชื่อของชาร์ลี
แชปลินก็มีอิทธิพลมากพอจะทำให้พิธีกรหญิงในคืนนั้นเชื่อว่ามันเป็นเพลงที่
สนุกสนาน โดยเธอหันไปหาที่พึ่งของเธออย่างคุณมาโนช
ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่เออออห่อหมกได้อย่างดีด้วยทัศนะว่า
"เพราะเพลงของชาร์ลี แชปลิน มันเป็นเพลงที่ตลกๆ ขำๆ นะครับ"

ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนขึ้นใหม่โดยคนทั้งสอง เป็น
เจอร์เมน แจ็กสัน
พี่ชายของไมเคิลที่ออกมาร้องเพลงที่เศร้าสลดที่สุดของคืนนั้น
ซึ่งถูกทำให้เชื่อไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ว่าเป็นเพลงชวนหัว
เขาร้องมันด้วยเสียงอันสะอื้น
เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ให้ยิ่งตรงกันข้ามกับข้อมูลที่ผู้ชมทางบ้านได้รับไป
ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

มา ถึงวินาทีนี้
การชมพิธีไว้อาลัยของไมเคิลจากสถานีนี้ต่อไปสำหรับแฟนเพลงอาจจะเป็นเรื่อง
ที่ไร้สติไปแล้ว หลายคนหาทางเลือกอื่น บางคนอาจตัดใจเข้านอน
แต่สำหรับคนที่ไม่ทางเลือกเช่นตัวผู้เขียนก็ยังคงทนดูต่อไป
โดยพยายามตั้งสมาธิจดจ่อกับเสียงซาวด์แทร็กที่ซ่อนอยู่หลังการบรรยายของผู้
ดำเนินรายการทั้งสามคนแทน(หลังจากช่วงนี้รู้สึกว่าเสียงของคุณมาโน
ชหายไปจากจอนานมาก ในใจหวังลึกๆ ว่าคุณมาโนชอาจจะสละเรือกลับบ้านไปแล้ว
น่าเสียดายที่ไม่เป็นเช่นนั้น)

ความผิดพลาดทั้งหมดที่กล่าวมาส่วนใหญ่เกิดจากความสะเพร่าและความเข้า
ใจผิดของผู้ดำเนินรายการทั้งสาม
ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอในบทความนี้

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นจากผู้ดำเนินรายการในวันนั้น คือ
ตอนที่ เมจิค จอห์นสัน นักบาสดังขึ้นมาพูดบนเวที
เขาได้ทำการสรรเสริญความดีของย่า, ลุงๆ และน้าๆ ว่า ถือเป็นโชคดีของลูกๆ
ทั้งสามของไมเคิลที่ได้บุคคลที่ดีงามเหล่านี้คอยดูแลแทนพ่อผู้จากไป
ในช่วงเวลาที่ประทับใจนั้น
เป็นตอนเดียวกับที่คุณมาโนชโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
"นี่เป็นความเห็นชี้นำหรือเปล่า เพราะเรื่องยังอยู่ในขั้นศาล"

ความพยายามดำเนินรายการของพิธีกรทั้ง 3 คน
กับภาพอันอบอุ่นในพิธีไว้อาลัยที่ดำเนินบนจอโทรทัศน์เป็นสิ่งที่ขัดกันอย่าง
สุดโต่ง ขณะที่บุคคลในงานพยายามอย่างที่สุดในการนำเสนอมุมดีๆ
ของตัวไมเคิล แต่ผู้ดำเนินรายการกลับร่วมกันทำลายสิ่งเหล่านั้นด้วยการช่วยกันจับจ้อง
ประเด็นที่ซ่อนอยู่ในงานพิธี ตามนิสัยของนักข่าวและนักวิจารณ์ชอบกระทำ

ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าไม่ให้เกียรติต่อทั้งตัวงาน
และไม่ให้เกียรติผู้ชมที่อยู่ทางบ้านอย่างไม่น่าให้อภัย

บุคคลที่น่าตำหนิที่สุดของคืนวันนั้น ก็คือ
โปรดิวเซอร์รายการที่ปล่อยให้ผู้ดำเนินรายการสองคนทำหน้าที่ ทั้งๆ
ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ นำมาซึ่งคำถามประหลาดๆ
ที่กลายเป็นภาระอันหนักหน่วงของคอมเมนเตเตอร์ที่ถูกเชิญมาอย่างยิ่งยวด

ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นความรู้พื้นฐานที่ไม่ได้สลับซับซ้อนมากมาย
เกินกว่าจะหาได้จากสื่อต่างประเทศในเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง
โดยเฉพาะความจริงที่ว่าทุกวันนี้ข่าวของไมเคิลถูกรายงานออกมาแทบจะทุกวัน
แม้แต่ในบ้านเราเอง

ส่วนคนที่ถือว่าน่าผิดหวังที่สุดของคืนนั้นก็คือ
ตัวคุณมาโนชนั่นเอง
กับความคาดหวังมากมายทั้งจากตัวผู้เชิญมาออกรายการและผู้ชมทางบ้านที่อยากจะ
ได้ความเห็นของบุคคลที่น่าเชื่อถือในวงการเพลงอย่างเขา
มาช่วยทำให้งานไว้อาลัยครั้งนี้ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
แต่มันกลับกลายเป็นเวทีที่ใช้พิสูจน์ความเป็นคนอีโก้จัดของตัวคุณมาโนชเอง

บ่อยครั้งที่พิธีกรชายพยายามยกเอาจุดเด่นที่แฟนๆ
ชื่นชมในตัวไมเคิลมาเป็นคำถาม
เพื่อหวังจะนำคำตอบของคุณมาโนชมาช่วยยืนยันเกียรติภูมิของผู้ตายอีกครั้ง
แต่ปรากฏว่าไม่มีซักครั้งที่คุณมาโนชจะเห็นด้วยกับคำถามด้วยการตอบตรงๆ
เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะใช้วิธีให้คำตอบแบบเลี่ยงๆ ไป
(เพลงป็อปของไมเคิลพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร -
เป็นเพลงป๊อปที่มีกลิ่นของคนดำ)
หรือไม่ก็ชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าความพิเศษที่คนเห็นในตัวไม
เคิลนั้นคนอื่นก็ทำมาแล้ว (ไมเคิลเป็นคนทำลายกำแพงผิวสีหรือเปล่า -
โมฮัมหมัด อาลี, จิมมี เฮนดริกซ์, โรเบิร์ต จอห์นสัน ก็เคยทำมาแล้ว
ก่อนจะยอมรับทีหลังว่าไมเคิลได้รับการยอมรับในวงกว้างมากกว่า)
จนถึงคำถามสุดท้ายก่อนงานเลิกที่พิธีกรหญิงถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการจัดงาน
ครั้งนี้ ซึ่งมาถึงตอนนี้ผู้ชมที่ฟังการแสดงความคิดเห็นของคุณมาโนชมา 2
ชั่วโมงกว่า คงพอจะเดาคำตอบได้
และเขาก็ไม่ทำให้เราผิดหวังด้วยคำตอบที่ว่า "ผมไม่มีความคิดเห็น
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับงานของคนดังที่เสียชีวิต"

สิ่ง ที่ผู้ชมได้รับจากการชมพิธีไว้อาลัย ไมเคิล แจ็กสัน
ในคืนนั้นเป็นเพียงแค่การนั่งดูการพยายามของผู้ดำเนินรายการที่สิ้นหวังสอง
คนในการไล่จับ "อีโก้" ของผู้ที่เชิญมาแสดงทัศนะให้กับงานนี้

มีผู้ชมหลายคนเริ่มบ่นตั้งแต่คุณมาโนช
วิจารณ์ไมเคิลก่อนเข้ารายการแล้ว
ทั้งเรื่องตัวไมเคิลเป็นสินค้าของผู้ที่จะหาผลประโยชน์
เป็นเทพเจ้าของแฟนๆ หรือที่หลายคนรับไม่ได้ที่สุดอย่างข้อกล่าวหาที่ว่า
We Are The World ของ USA for Africa เป็นแค่การเลียนแบบ Band Aid
ของฝั่งอังกฤษที่ทำออกมาก่อนหน้านี้

แต่โดยส่วนตัวแล้ว
ผู้เขียนคิดว่าคุณมาโนชมีความชอบธรรมเต็มร้อยที่จะใส่ทัศนคติของตัวเองใน
ช่วงเวลานั้นอย่างไม่ต้องไว้หน้าใคร แต่ทันทีที่งานเริ่ม
งานซึ่งเป็นพิธีเพื่อไว้อาลัยแด่ผู้ที่จากไป
บทบาทในการเป็นผู้วิจารณ์ของคุณมาโนชควรจะถูกแทนที่ด้วยสำนึกแห่งกาลเทศะ
เพราะงานประเภทนี้ไม่ต่างอะไรกับช่วงแจกรางวัล LifeTime Achievement
ของงานแกรมมี่หรือ ออสการ์
ซึ่งเป็นช่วงที่วงการจะแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการต่อบุคคลที่ได้เลือก
แล้ว ความคิดเรื่องการวิจารณ์ในแง่ลบในงานดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ผิด
มารยาทอย่างร้ายแรงเสียจนเราแทบจะไม่เคยเห็นการกระทำอย่างนั้นมาก่อน
จนกระทั้งการถ่ายทอดของช่อง Thai PBS เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ เคยมีเหตุการณ์ที่แฟนเพลงของ ไมเคิล แจ็กสัน
เห็นเขาถูกฉีกหน้ากลางเวทีมาแล้วเมื่อปี 1996 ในงาน BRIT Awards เมื่อ
จาร์วิส ค็อกเกอร์ นักร้องนำวง Pulp
ขึ้นไปป่วนบนเวทีที่ไมเคิลกำลังแสดงด้วยการวิ่งไปมารอบเวทีและหันก้นไปทางไม
เคิล โทษฐานที่ไมเคิลพยายามทำตัวเปรียบเทียบกับพระเจ้า
ซึ่งการกระทำครั้งนั้นได้รับทั้งเสียงชื่นชมและเสียงประณามของคนในวงการพอๆ
กัน

แต่ ที่แตกต่างจากเหตุการณ์เมื่อคืนวันอังคาร ก็คือ
แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นเจตนาร้ายของผู้กระทำอย่างชัดเจน
แต่มันเป็นเรื่องระหว่างคนเป็น แต่ในการถ่ายทอดพิธีไว้อาลัยของไมเคิล
แม้จะไม่มีผู้ดำเนินรายการคนไหนมีเจตนาร้ายต่อไมเคิล
แต่มันเป็นเรื่องระหว่างคนเป็นและคนตาย
ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในงานคือความ Respect (เคารพ)
ซึ่งบอกได้ว่าหาได้ยากเหลือเกินเมื่อดูจากความเห็นที่ออกมาแต่ละครั้ง

ผู้ที่น่าเห็นใจที่สุดในวันนั้น ก็คือ ตัวผู้ชมทางบ้าน
ซึ่งเชื่อว่าเกินครึ่งที่อดนอนดูการถ่ายทอดหลังเที่ยงคืนไปแล้วคงจะมีแต่แฟน
เพลงของไมเคิลเป็นส่วนใหญ่
ที่จิตใจกำลังอยู่ในสภาพที่เปราะบางเพื่อรับการเยี่ยวยาโดยสุนทรพจน์ที่แขก
ในงานแต่ละคนต่างประดิษฐ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้งกินใจ
แต่ต้องมาถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยข้อมูลแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลายคนที่ติดตามการออกอากาศครั้งนี้ต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า
ทำไมรายการถึงไม่เชิญผู้ที่อาจจะมีความรู้ทางดนตรีไม่ลึกเท่านี้
แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้ชมเห็นความสำคัญในการจากไปของไมเคิล แจ็กสัน
ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือหัวใจสำคัญที่ดูเหมือนจะถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิงในการถ่ายทอดสด
เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็น วิโรจน์ ควันธรรม เซียนเพลงยุค 80 ตัวจริง
ที่ไปร่วมงานรำลึกไมเคิลที่เมืองไทยไม่นานมานี้ หรือจะเป็นดีเจเก๋าๆ ทั้ง
นิมิตร ลักษมีพงศ์, มณฑานี ตันติสุข, สาลินี ปันยารชุน
ต่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการให้มุมมองในพิธีไว้อาลัยครั้งนี้แบบ
หลับตาเลือกใครก็ได้

สรุป ก็คือ มันเป็นความ Ignorance ของผู้ดำเนินรายการทั้งสอง
ที่ไม่ทำการบ้านมามากพอ เป็นความ Ignorance
ของผู้แสดงทัศนะที่เห็นความสำคัญของอีโก้มากกว่ากาลเทศะในการแสดงความคิด
เห็นแต่ละครั้ง เป็นความ Ignorance
ของโปรดิวเซอร์รายการที่นำองค์ประกอบที่ไม่สมบูรณ์นี้มาออกอากาศในรายการที่
ผู้ชมทั่วประเทศตั้งตารอ

ถ้าจะโทษทางสถานี Thai PBS ว่า
ถ่ายทอดรายการออกมาได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
ก็คงไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าสถานีช่องอื่นๆ จะไม่เอาอะไร "ประหลาดๆ"
มายัดเยียดใส่หัวคนดูแบบไม่ได้รับเชิญ กลางงานไว้อาลัยอย่างนี้อีก

ถ้าจะว่าเป็นบทเรียนให้กับคนทำรายการก็ลำบากใจ
เพราะคงจะไม่มีงานระดับนี้ให้แก้ตัวกันอีกแล้ว
เพราะดูจากมาตรฐานของป็อปสตาร์ยุคนี้
จะหาคนที่อยู่ในวงการอย่างสมภาคภูมิกว่า 3 ทศวรรษได้เหมือนกับ ไมเคิล
แจ็กสัน ยากเต็มที
ซึ่งคงจะไม่มีใครจัดงานไว้อาลัยให้กับการจากไปของพวกเขาได้อย่างสุดแสนอาลัย
อาวรเหมือนการจากไปของราชาเพลงป๊อปอีกแล้ว

*******************

ความเหมือนกันระหว่าง "ผู้วิจารณ์" และ "ผู้ถูกวิจารณ์"

เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะผู้พี่อย่าง ดำรง
พุฒตาล เพิ่งจะเป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่าตกเป็นเป้าโจมตีแฟนเพลงวง
Super Junior ในเมืองไทย
จนถึงขนาดมีการเขียนจดหมายไปต่อว่ากันถึงนิตยสารคู่สร้างคู่สม
ซึ่งทางคุณดำรงก็นักเลงพอที่จะนำจดหมายที่เขียนต่อว่ามาอย่างรุนแรงและหยาบ
คายนั้น ลงตีพิมพ์ในคู่สร้างคู่สม พร้อมคำชี้แจงตอบกลับเพียงอีกเล็กน้อย
แต่เข้าประเด็นดีเหลือเกิน

แต่ ที่ต่างในกรณีของคนน้องอย่างคุณมาโนช ก็คือ
จากกระแสต่อต้านส่วนใหญ่ที่เห็นได้จากกระทู้ภายในเว็บแห่งนี้และอีกหลายๆ
เว็บ สังเกตได้ว่ากว่าครึ่งจะเป็นทั้งแฟนเพลง แฟนหนังสือ
หรือแฟนรายการของคุณมาโนชมาก่อนทั้งนั้น
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่รู้ว่า มาโนช พุฒตาล คือ
ใครและเคยทำอะไรมาก่อน

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คุณมาโนช
ยังคงมีสาวกรอติดตามผลงานอยู่อย่างต่อเนื่อง
เพราะทั้งบทบาทการเป็นคนหนังสือและพิธีกรรายการโทรทัศน์ที่นำเสนอผลงานดนตรี
สากลดีๆ ในช่วงสิบกว่าที่แล้ว
ทำให้เขาเป็นผู้นำของแวดวงดนตรีสากลในเมืองไทยแบบไร้คู่แข่ง
และสร้างนิสัยในการรักเสียงดนตรีที่แท้จริงแก่นักฟังเพลงชาวไทยมาแล้วหลาย
ต่อหลายรุ่น อีกทั้งผลงานเพลงจากชุด "ในทรรศนะของข้าพเจ้า"
ถือเป็นผลงานยอดเยี่ยมและท้าทายที่สุด
แบบไม่เคยมีมาก่อนในวงการเพลงบ้านเราเลยก็ว่าได้

สำหรับบางคนแล้ว คุณมาโนช ก็ไม่ต่างจาก "เทวดา" สำหรับพวกเขา
ไม่ต่างกับทัศนะที่คุณมาโนชให้ก่อนเข้ารายการ ที่ว่า ไมเคิล แจ็กสัน เป็น
"เทพเจ้า" ต่อแฟนเพลงเช่นเดียวกัน

ในขณะที่หลายคนหวังอย่างยิ่งว่าผลงานเพลงอันยิ่งใหญ่มากมายของ
ไมเคิล แจ็กสัน จะไม่ถูกลบเลือนหลงลืมไปตามกระแสของข่าวเสียๆ หายๆ
ที่กระหน่ำเข้ามาในช่วงท้ายของชีวิตของเขา

เช่น เดียวกับที่อดจะกังวลแทนไม่ได้ว่า
ชื่อเสียงทั้งในฐานะสื่อมวลชนด้านดนตรีสากลที่โดดเด่น
รวมทั้งในฐานะนักแต่งเพลงและนักดนตรีที่ยอดเยี่ยม
คงจะไม่ต้องมาเสียหายเพราะการแสดง "ทรรศนะของเขา"
เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว


http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077808

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น