++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"น้ำผึ้งแว่น" แห่งปะนาเระ ภูมิปัญญาที่ไร้ผู้สืบทอด

หากใครยังติดตา ตรึงใจกับ "ละครเรื่องกัลปังหา"
บทประพันธ์จากปลายปากกาของ "พนมเทียน"
ย่อมต้องจำความสวยงามและบรรยากาศบนหาดแฆแฆ ในอำเภอปะนาเระ
จ.ปัตตานีได้ติดตา ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเมืองเล็กๆ
แห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหลเพียงไหน
และไม่เพียงแต่ชายหาดงามเท่านั้นที่ขึ้นชื่อ ใน
อ.ปะนาเระยังมีน้ำผึ้งแว่นหวานเจี๊ยบขึ้นชื่อเป็นสินค้าพื้นประจำเมืองอีก
อย่างหนึ่ง ที่เมื่อไปเยือนปัตตานีแล้วจะต้องหยิบจับมาเป็นของฝากกัน

แต่วันนี้...สิ่งที่น่ากังวล คือ
ต้นโหน้ดหรือต้นตาลโตนดเริ่มจะหายไปเรื่อยๆ
หายไปพร้อมกับคนขึ้นตาลเพื่อไปปาดตาล เอาน้ำตาลมาทำ "น้ำผึ้งแว่น"
และไม่ค่อยมีใครยึดอาชีพนี้เป็นหลักอีกต่อไป

ลุงนิพนธ์ ลาพเจือจันทร์ และลุงมนัส ยศศิริ ชาวอำเภอปะนาเระ จ.ปัตตานี
**ของฝากจากปะนาเระ
ลุงนิพนธ์ ลาพเจือจันทร์ ชาวอำเภอปะนาเระ บอกว่า
เมื่อก่อนนี้นอกจากอาชีพประมงที่ทำกันทั่วไปใครๆ ในอ.ปะนาเระ
อีกอาชีพหนึ่งที่คนพื้นที่ทำกันสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน ก็คือ
การนำน้ำตาลจากต้นตาลโตนดมาทำเป็นน้ำผึ้งแว่น
เพราะในอดีตน้ำตาลทรายยังไม่มี และรสหวานจากตาลโตนดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ประกอบกับอาชีพหลักของผู้คนในยุคนั้นสมัยนั้นก็คือการทำเกษตรกรรม
ผู้คนจึงนิยมทำอาชีพนี้กันมาก

ทั้งนี้ น้ำหวานจากตาลโตนดเอามาทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น
นำมาเคี่ยวจนข้นและเข้าแว่นพิมพ์เพื่อทำเป็นน้ำผึ้งตาลโตนดหรือน้ำตาลแว่น
ซึ่งสามารถไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นทำอาหารหรือขายเป็นของฝากนักท่องเที่ยว
แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมกันก็คือเอาไปทำขนมพื้นเมืองของปักษ์ใต้ เช่น ขนมโค
เป็นต้น
หรือถ้าขี้เกียจต้มก็ปล่อยไว้เฉยๆ ภายใน 1 อาทิตย์
น้ำตาลก็จะกลายเป็นน้ำส้ม ซึ่งน้ำส้มที่ว่า
ไม่ใช่เอาไว้กินแก้กระหายเหมือนน้ำอัดลม แต่เอาไว้ประกอบการแกง เช่น
แกงส้ม หรือใส่ในน้ำพริกก็อร่อยไม่เบาโดยไม่ต้องใช้มะนาว

"ตอน ที่ยังเป็นหนุ่มตามเส้นทางสองข้างถนนสายปัตตานีจะพบเห็นชาวบ้านปะนาเระนำผล
ตาล น้ำตาลสด น้ำผึ้งแว่นมาวางขายเป็นของฝากพื้นเมืองเป็นเครื่องแสดงว่าชาวปะนาเระปลูก
ตาลกันมาก เช่นเดียวกับที่ยะหริ่งซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ติดกันนั้นก็มีชื่อเสียงเรื่อง
การทำน้ำตาลไม่แพ้กัน แต่เดี๋ยวนี้มีให้เห็นน้อย
นอกจากจะมีงานใหญ่ระดับจังหวัดจึงจะขนมาขายกัน" ลุงนิพนธ์
เล่าย้อนถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเปรียบเทียบกับในปัจจุบัน
พร้อมทั้งบอกด้วยว่า สิ่งที่หนักใจสำหรับคนรุ่นเก่าก็คือ
หาคนที่จะมาสานต่อการทำอาชีพนี้ค่อนข้างยาก

างเรียงแว่นตาลรอหยอด
**ภูมิปัญญาที่ไร้ผู้สืบทอด
ลุงมนัส ยศศิริ วัย 52 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นครู ร.ร.บ้านกลาง
อ.ปะนาเระ เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า ภาพที่คุ้นชินในวัยเด็กคือ
จะเห็นผู้ชายในหมู่บ้านพกมีดปาดตาล ปีนต้นตาลด้วยเท้าเปล่า พร้อมเสียง
"ป็อก-แป็ก" ที่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ที่ห้อยติดเอวไปด้วยกระทบกันไปมา

ลุงมนัสบอกว่า ในตอนนั้นแกยังไม่รู้รายละเอียดของมันมากนัก
เพียงแต่ตระหนักและคิดเสมอว่าเป็นเรื่องของภูมิปัญญาที่คนรุ่นหลังอย่างแกจะ
ต้องช่วยรักษาไว้
อย่างไรก็ตาม แม้ลุงมนัสจะมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ
แต่ก็ยังคงปีนต้นตาล และปาดตาลอยู่ แม้จะไม่ใช่งานหลัก
แต่ถือว่ายังได้ทำตามความตั้งใจ

" คนรุ่นสุดท้ายที่ทำอย่างจริงจังอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ถึง 60
ปี มีคนที่เป็นงานจริงๆ น้อย เรียกว่าถ้าใครยึดอาชีพนี้เป็นงานหลักก็หนัก
อีกอย่างที่คนรุ่นใหม่เขาไม่ค่อยทำกันแล้วเพราะต้องออกจากพื้นที่ไปเรียน
หนังสือ จึงไม่เห็นคนหนุ่มรุ่นอายุ 20-30 ปีแถบนี้มากนัก
ประกอบอาชีพอย่างอื่น ต่อไปถ้ามันหายก็หายพร้อมกับคนยุคเก่า
ลุงอาจจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะปีนต้นตาลแล้วก็เป็นได้"

น้ำผึ้งแว่นที่แห้งแล้วพร้อมขึ้นตาชั่งขาย
ลุงมนัส บอกว่า งานขึ้นตาล เคี่ยวตาล
ไม่ต่างกับงานสกุลช่างโบราณเลย
เพราะเป็นงานที่ต้องทำสืบทอดแบบรุ่นต่อรุ่น
ในบางบ้านต้องเจอกับปัญหาไร้ผู้สืบทอดเพราะมีลูกหลานเป็นผู้หญิง
แต่ด้วยงานนี้ต้องใช้ทักษะและแรงค่อนข้างมาก
จึงสงวนไว้ให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น
สำหรับลูกผู้ชายถ้าไม่ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือก็หันไปทำอาชีพอื่นที่มีความ
เสี่ยงน้อยกว่าการปีนต้นตาลที่มีความสูงกว่า 20
เมตรทุกเช้า-เย็นโดยที่ค่าตอบแทนมีไม่ตลอดทั้งปี

"ราย ได้ที่ตอบกลับมาจะว่าคุ้มก็คุ้ม
ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ใช้อะไรมาก และถ้าขยันก็ได้มาก ขี้เกียจทำก็ได้น้อย
แต่ว่าเราไม่ได้ขึ้นตาลได้ทั้งปี ปีหนึ่งทำได้ดีที่สุดแค่ 6 เดือน
ถ้าคนที่ขยันก็ทำได้ประมาณ 20 ต้น ปีนวันละ 2 ครั้ง 80 เที่ยวต่อวัน
เช้าวันละ 20 ครั้ง เย็น 20 ครั้ง ก็ได้อย่างน้อย 600 บาทต่อวัน"
ลุงมนัสให้ภาพ

ปัจจุบันทำได้เพียงการสาธิตและสอนการทำแว่นตาลเท่านั้น
**หลักสูตรท้องถิ่นยังห่างไกล
ลุงมนัส ให้ข้อมูลว่า
บรรดากลุ่มผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเคยรวมตัวกันและหารือกันมาระยะหนึ่งแล้วว่าหาก
ขาดคนหนุ่มมาทำงานตรงนี้แล้ว อาชีพการปีนต้นตาล ปาดตาล
และท้ายที่สุดน้ำผึ้งแว่นอาจจะหายจากปะนาเระก็เป็นได้
จึงมีคนรุ่นครูกลับมาอนุรักษ์อาชีพเก่าแก่นี้ไว้
ทว่าก็ทำได้เพียงการทำงานแบบคนแก่ๆ ที่ยืดอายุงานไปได้ไม่กี่ปีเท่านั้น

และเมื่อถามว่าความเป็นไปได้ของการนำภูมิปัญญานี้มาบรรจุในหลักสูตร
ท้องถิ่นมีมากน้อยเพียงไหน
คุณครูบ้านกลางได้แต่ส่ายหัวและบอกเพียงว่าการทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นอาจจะ
ยากสำหรับการทำน้ำผึ้งแว่น
เนื่องจากเป็นท้องถิ่นที่ไม่เหมือนวิชาท้องถิ่นทั่วไปไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือ
แล้วจะเข้าใจ ต้องสอนด้วยวิธีการปฏิบัติ
แต่เพราะอาชีพนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ
แม้จะเป็นภูมิปัญญา
หรือจัดทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นได้จริงก็เสี่ยงและคงไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองคน
ใดยอมให้ลูกชายหรือลูกสาวตนเองมาเสี่ยงต่อการเจ็บตัวอยู่แล้ว

ขนมโคสอดไส้น้ำผึ้งแว่น
"ถ้าพูดคุยเพื่อ ขอความรู้ทั่วไปอาจจะให้ได้
แต่ถ้าให้จัดหลักสูตรเป็นทางการนั้นยากสำหรับวิชานี้
ถ้าเป็นวิชาจักสานทำได้หรือภาษาถิ่น หรือภูมิปัญญาอย่างอื่นคงทำได้ไม่ยาก
หรือถ้าต้องสอนกันจริงๆ
ก็ใช่ว่าคนโตแล้วแต่ไม่เคยปีนต้นตาลมาก่อนก็ทำไม่ได้หรืออาจจะยาก
เหมือนไม้แก่ดัดยาก เพราะอย่างที่บอกงานนี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางสูง
ลุงฝึกตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ตามพ่อไปด้วยก็เลยได้ฝึก
พ่อสอนให้ทุกวันได้ติดนิสัยมา ใช้เวลานานมากในการฝึก
เมื่อก่อนพ่อยากจนที่บ้านก็ทำน้ำตาลขาย ตั้งแต่กิโลละ 2 บาท ตอนนี้กิโลละ
60 บาท เรียนหนังสือจบมาได้ก็เพราะน้ำตาล ทุกวันนี้ก็เลยต้องทำอยู่"
ลุงมนัส กล่าวสรุป

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075044

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น