รายงานพิเศษ โดย...พงศ์เมธ ล่องเซ่ง
ทุกวันนี้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
ได้ส่งผลให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมาก ไม่มีที่อยู่อาศัย
ไม่สามารถยืนอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตัวเองได้
โดยในปีที่ผ่านมาพบมีคนกว่า 42 ล้านคน ที่พลัดพรากจากบ้านเรือนตัวเอง
ซึ่งสามารถแบ่งเป็นผู้ลี้ภัย 16 ล้านคน ผู้พลัดถิ่น 26 ล้านคน
และประเทศที่มีคนพลัดถิ่นมากที่สุด คือ ปากีสถาน ศรีลังกา และ โซมาเลีย
ที่น่าสนใจยิ่ง ก็คือ
นอกจากประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาสูงสุดในภูมิภาคแล้ว
ยังมีผู้ลี้ภัยอีกว่าพันคนที่กระจายอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ อีกด้วย
โจเซปเป เดอ วินเซนทิส
โจเซปเป เดอ วินเซนทิส
รองผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้ข้อมูลว่า
เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ประเทศไทยให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
จากความชัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา เวียดนาม ลาว และ พม่า
ทั้ง นี้ ในปัจจุบันผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จะเป็นชนกลุ่มน้อยชาวพม่า กะเหรี่ยง
กะเหรี่ยงแดง ที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง
ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และ
ราชบุรี รวมทั้งสิ้นกว่า 140,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้ลี้ภัย 112,932 คน
ที่ขึ้นทะเบียนผู้ลี้ภัยแล้ว และอีกกว่า 12,578 คน
กำลังอยู่ในขั้นตอนขึ้นทะเบียน
ซึ่งหากเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันจะเห็นว่าผู้ลี้ภัยในไทยมีจำนวนสูง
ที่สุด เพราะยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน
นอกจากจะมีผู้ ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามค่ายพักพิงทั้ง 9 แห่งแล้ว
จากสถานการณ์ล่าสุดพบด้วยว่า
มีผู้ลี้ภัยอีกว่าพันคนที่กระจายอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ด้วย ...
โจเซปเป อธิบายว่า สำหรับผู้ลี้ภัยในกรุงเทพฯ นั้น ทาง UNHCR
ได้ยอมรับคนพวกนี้ แต่ในแง่กฏหมายยังไม่มี
เพราะไทยยังไม่ได้ลงนามตามอนุสัญญาเรื่องผู้ลี้ภัย
ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับรัฐบาลไทยให้มีการลงนามเกิดขึ้น ฉะนั้น
คนเหล่านี้ยังถือเป็นผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย จึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ
มีความเสี่ยงที่จะโดนจับ เนื่องจากไม่มีเอกสารบ่งบอกถึงสถานะของตัวเอง
จนบางครั้งอาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ได้
แต่หากพวกเขาได้รับความเมตตาจากผู้คนให้ทำงานก็ถือว่าเป็นโชคดี
ผิดกับผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายพักพิง
เพราะเมื่อคนอยู่กันจำนวนมากในเวลานานๆ สิ่งที่เกิดคือ การแออัด
ความเครียด จนนำไปสู่ความรุนแรง
ด้านแนวทางแก้ปัญหานั้น โจเซปเป บอกว่า แนวทางที่ดีที่สุด คือ
การช่วยตั้งถิ่นฐานให้ในประเทศที่ 3
ในกรณีที่ความขัดแย้งในประเทศบ้านเกิดยังไม่สงบ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
UNHCR ได้ช่วยตั้งถิ่นฐานให้แก่ผู้ลี้ภัยในประเทศที่ 3 ซึ่งได้แก่
สหรัฐอเมริกา และ แคนาดาไปแล้วกว่า 4 หมื่นคน
แต่ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่อยากกลับบ้าน ส่วนคนที่อาศัยในค่ายพักพิงนานๆ
ก็ได้เจรจากับรัฐบาลไทย
ถึงความเป็นไปได้ที่ให้คนพวกนี้มีโอกาสออกมาเรียนหนังสือ ทำงาน
ประกอบอาชีพ
การอบรมอาชีพให้กับผู้ลี้ภัยเพื่อให้พวกเขาหารายได้ให้กับตนเอง และครอบครัว
"ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยยอมรับ และรับรู้ว่า มีปัญหานี้เกิดขึ้น
ซึ่งการพูดคุยก็มีความคืบหน้าหลายเรื่อง เช่น รัฐบาลยอมให้มีการอบรม
ฝึกทักษะอาชีพแก่คนในค่ายผู้ลี้ภัย มีการสอนหนังสือ สอนภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ ฝึกอาชีพทั้ง เย็บผ้า เสริมสวย ทำอาหาร ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า
เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่โลกภายนอกในอนาคต
ซึ่งเชื่อว่าคนพวกนี้มีศักยภาพในการทำงาน
ที่จะสามารถช่วยในเรื่องของการขาดแคลนแรงงานของไทย
จนนำไปสู่การช่วยเหลือเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไปได้อีกด้วย
แต่สิ่งที่ต้องดูต่อไปคือสถานะทางด้านกฎหมายของคนพวกนี้
ว่าจะมีกฎหมายใดรองรับคนพวกนี้เมื่อออกไปจากค่าย" โจเซปเป ขยายความ
แน่นอนว่า การที่จะให้กลุ่มผู้ลี้ภัยออกสู่โลกภายนอกนั้น
คงไม่ใช่เรื่องง่าย และการสร้างการยอมรับแก่สังคมเป็นเรื่องที่ยากมาก
ในประเด็นนี้ โจเซปเป มองว่า จริงๆ
แล้วผู้ลี้ภัยไม่ได้หมายถึงคนทำผิดกฎหมาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
แต่เป็นผู้คนที่หนีจากภาวะความไม่สงบภายในประเทศเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จะกลัวคนอื่นมากกว่า
เพราะเขาเคยผ่านเรื่องราวที่เจ็บปวดมามาก จึงอยากให้คนไทยเข้าใจ
เปิดใจยอมรับมากกว่านี้
ห้องเรียนในค่ายผู้ลี้ภัย
ที่สุดแล้ว โจเซปเป ทิ้งท้ายว่า ต้น เหตุของปัญหาทั้งหมด คือ
ความขัดแย้งที่ทำให้ผู้คนต้องหลบหนีออกมาจากประเทศของตัวเอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ปัญหาก่อน
ผู้ลี้ภัยทั้งหลายจึงจะสามารถกลับประเทศได้
แต่หากความขัดแย้งยังคาราคาซัง ไม่ยุติง่ายๆ
ผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงก็ยังต้องอยู่กันต่อไป
และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นด้วย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077691
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น