++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ท่องเที่ยวสุขภาพ มิติใหม่ภูเก็ต

การนวดผ่อนคลายที่สุโขสปา
"sea sun sand"
ในอดีตคือจุดสิ่งสำคัญที่หนุนส่งให้"ภูเก็ต"โด่งดัง
เป็น"ไข่มุกอันดามัน"แหล่งท่องเที่ยวชื่อก้องโลก

แต่วันนี้เมื่อสภาพการณ์ทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไป
"sea sun sand" ดูจะไม่เพียงพอต่อภาคการท่องเที่ยวของภูเก็ตแล้ว
นั่นจึงทำให้เมืองนี้พยายามหาสิ่งน่าสนใจอื่นๆมาเสริมทัพทางการท่องเที่ยว
โดยหนึ่งในนั้นก็คือ"การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ"ที่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ท่อง
เที่ยวเมืองภูเก็ต

ซึ่งล่าสุดสำนักงานสาธารณสุขภูเก็ต กระทรวงสาธารณสุข
ได้จับมือกับภูเก็ตและภาคเอกชนในจังหวัด
ระดมสมองเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ให้ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับ
โลกในภายภาคหน้า

การบำบัดร่างกายด้วยสายน้ำที่เฌอเอมสปา
ยกระดับมาตรฐานสปา

นายแพย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนสุขภาพ เปิดเผยว่า
ในอดีต(ก่อนปี 47)ธุรกิจสปา
ถูกผู้ไม่หวังดีดึงไปใช้ในธุรกิจขายบริการทางเพศ
ทำให้ภาพลักษณ์ของสปาและนวดไทยเสื่อมเสีย กระทั่งในปี พ.ศ. 2547
กระทรวงสาธารณสุขได้เข้ามาจัดระเบียบธุรกิจสปา โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก
คือ สปาเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ และนวดเพื่อการเสริมสวย
พร้อมให้ขึ้นทะเบียนเป็น"ธุรกิจบริการสุขภาพ"เพื่อแก้ปัญหาเรื่องธุรกิจขาย
บริการ

ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้ประกอบการด้านสปาและนวดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ
สุขภาพและเสริมสวย ต้องมีมาตรฐานของสถานบริการเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง
และต้องจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขให้ถูกต้อง
เพื่อแยกออกอย่างชัดเจนจากสถานบริการ

ชุดลูกประคบหินสมุนไพรของธาร ธารา สปา
"อย่างไรก็ตามทั้งนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์ของจังหวัด
(ภูเก็ต)ก็จะเดินทางไปในทางที่สอดคล้องกัน คือ
ชูให้สถานประกอบการสปาของไทยเป็นสปาที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย
และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก
และกระทรวงจะเดินหน้าจัดระดับสปาเป็น ระดับเงิน ทอง และแพลทตินั่ม
เพื่อยกระดับมาตรฐานของสปาให้มีคุณภาพมากขึ้น" นายแพย์วิศิษฏ์ กล่าว

สำรวจ 3 สปาดัง

ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีสถานบริการเพื่อสุขภาพ
ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด แบ่งเป็น สปาเพื่อสุขภาพ
63 แห่ง นวดเพื่อสุขภาพ 98 แห่ง และสถานพยาลบาล(รวมทุกประเภท) 228 แห่ง
และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ทางสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตได้หยิบยก 3 สปาชื่อดังของภูเก็ตมานำเสนอ
ประกอบด้วย

นวดไทยที่โรงเรียนการนวดไทยภูเก็ต
"เฌอเอมสปา วิลเลจ" เป็นเดย์สปา
ที่เน้นความเป็นธรรมชาติในบรรยากาศอาคารศิลปะไทยประยุกต์
มีการนวดที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งการนวดแผนไทย การนวดน้ำมัน
การนวดกดจุดฝ่าเท้า การนวดบำบัดด้วยหิน การผ่อนคลายด้วยวารีบำบัด
รวมถึงบริการด้านความงาม อาทิ การทรีทเม้นท์ต่างๆ การแต่งทรงผม
แต่งเล็บมือ เล็บเท้า เป็นต้น

"สุโขสปา" (Sukko Cultural Spa & Wellness)
เป็นสปาและรีสอร์ทที่นำเอาวัฒนธรรมไทยมาผสมกับศาสตร์ทางการแพทย์แผนไทย
ในบรรยากาศที่พักสะดวกสบาย ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อม
มีการนวดแบบสุโขที่เป็นการนวดไทยผสมการนวดน้ำมันเป็นจุดเด่น
รวมถึงบริการสุขภาพด้านอื่นๆ อาทิ การทรีทเม้นต์ การฝึกโยคะ
การออกกำลังกายในน้ำ การฝึกมวยไชยา ซึ่งส่งผลให้ในปี 2551
ที่ผ่านมาสุโขสปาได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและระดับสากลไปถึง 3 รางวัล

"ธาร ธารา สปา" เป็นเดย์สปาแห่งแรกในภูเก็ต มีแนวคิดในการทำสปาว่า
"ไม่เน้นความหรูหรา 5 ดาว แต่เน้นความเป็นสปาอย่างแท้จริง"
โดยการใช้ธรรมชาติบำบัด เน้นความความสงบ และการพักผ่อน
มีจุดเด่นอยู่ที่การนวดประคบหินสมุนไพรซึ่งคิดค้นขึ้นเอง
เป็นการนำหินสีดำใต้แม่น้ำมาทำเป็นลูกประคบร่วมกับสมุนไพรไทย อาทิ ขมิ้น
ใบมะกรูด พิมเสน การบูร
และการทำไวท์เทรนด์นิ่งโดยใช้ไข่มุก(ภูเก็ต)มาร่วมขัดผิวผสมการนวด
รวมถึงมีการทำโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าคนไทยอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการชูสปาชื่อดังทั้ง 3 แล้ว ทางสาธารณสุขภูเก็ต
ยังจัดทำแผนที่สปาที่รวบรวมสถานบริการสปาและนวดซึ่งเข้าร่วมจดทะเบียน
มาตรฐานกับกระทรวงสาธารณสุข
มาเป็นคู่มือเพื่อสุขภาพพ่วงด้วยส่วนลดจากสปาหลายๆแห่งด้วย

สัญลักษณ์มาตรฐานสปาของ ก.สาธารณสุข
ตั้งเป้า 5 ปี โกย 4 แสนล้าน

สำหรับสถานการณ์สปาในภูเก็ตที่มีการแข่งขันกันสูง วิเชียร
จูฑะมงคล นายกสมาคมสปาภูเก็ต กล่าวว่า 5
ปีที่ผ่านมาธุรกิจสปาในภูเก็ตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
แต่ก็เป็นธุรกิจที่ยังผูกติดอยู่กับธุรกิจท่องเที่ยวโดยมีจำนวนนักท่อง
เที่ยวที่มาใช้บริการในภูเก็ตไม่ถึง 5 %

"5 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงจัดระเบียบสปา ส่วน 5 ปี
ข้างหน้าจะเป็นการยกระดับมาตรฐานสปาไทย
รวมถึงการโปรโมทภูเก็ตเป็นเมืองสปาแห่งเอเชีย ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ที่
4แสนล้านบาท"

นายกฯสปาภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า
ในอนาคตจะพยายามผลักดันสปาออกจากธุรกิจท่องเที่ยวให้เป็นธุรกิจสปาโดยตรง
และจะมุ่งเน้นให้คนไทยหันมาใช้บริการสปาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
สุขภาพของคนไทย

ทำฟัน-แปลงเพศฮิต

ด้วยความที่ภูเก็ตเป็นเมืองที่มีศักยภาพทางด้านทันตกรรมและศัลยกรรม
ตกแต่ง(ผ่าตัดเสริมความงาม-แปลงเพศ)ในระดับแถวหน้า
มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างชาติ
ที่สำคัญคือมีราคาถูกถ้าเทียบกับบริการประเภทนี้ในต่างประเทศ
ทำให้บริการทั้งสองถูกชูขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์การ
ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

พท.สิทธิธานนท์ วังซ้าย ทันตแพทย์ศาสตร์บัณฑิต
แห่งพร้อมใจทันตแพทย์(สาขาป่าตอง)
หนึ่งในสถานทำฟันขึ้นชื่อของภูเก็ตเล่าว่า 4
ปีก่อนมีทันตแพทย์ในภูเก็ตประมาณ 50 คน แต่ปัจจุบันมีประมาณ 150 คน
เนื่องจากธุรกิจด้านนี้เติบโตรวดเร็วมาก
เพราะอัตราค่าบริการทำฟันในบ้านเรามีราคาถูกกว่าต่างชาติมาก
การทำฟันในยุโรปราคาแพงกว่าบ้านเรา 3-4 เท่า
ส่วนที่ออสเตรเลียแพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า

ด้านโรงพยาบาลสิริโรจน์
โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในภูเก็ตที่มีบริการทางการแพทย์สำหรับนักท่องเที่ยว
ต่างชาติ ซึ่งมีความโดดเด่นมากในด้านการผ่าตัดแปลงเพศ ได้ส่งนายแพทย์สงวน
คุณาพร ศัลยแพทย์ตกแต่งของโรงพยาบาล
ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในวงการผ่าตัดแปลงเพศของเมืองไทยมาให้ข้อมูลว่า

ชื่อเสียงด้านการผ่าตัดแปลงเพศของไทยถือว่าโด่งดังเป็นอันดับต้นๆของ
โลก เนื่องจากหมอไทยมีความสามารถสูง มีมาตรฐานสูงในระดับสากล
มีฝีมือปราณีตเป็นที่ยอมรับ ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่าหลายๆประเทศ

"บริการการแปลงเพศสร้างรายดีมากในภูเก็ต
การผ่าตัดแต่ละครั้งใช้เงินประมาณ 3- 4 แสนบาท
ผู้มาผ่าตัดแปลงเพศของโรงพยาบาล(สิริโรจน์)ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมีอายุ
เลยวัยกลางคนขึ้นไป
จากสถิติที่บันทึกไว้ผู้มีอายุสูงสุดที่มาแปลงเพศในโรงพยาบาลมีอายุถึง 78
ปี ในปี 51 ที่ผ่านมามีผู้มาผ่าตัดแปลงเพศประมาณ 60 คน"

แผนที่สปาที่จัดทำโดยสาธารณสุขภูเก็ต
สำหรับชาวต่างชาติที่มาผ่าตัดแปลงเพศในภูเก็ตจะมาอยู่ในภูเก็ตเฉลี่ย
15 วัน โดยอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนหนึ่งและที่เหลือพักผ่อนข้างนอก
นั่นจึงทำให้ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับอานิสงส์ไปด้วย

เปลี่ยนภาพลักษณ์หมอนวดไทย

การนวดไทยถือเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญของธุรกิจการท่องเที่ยวสุขภาพ
ของภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการนวดและสปาในภูเก็ตกว่าครึ่งล้วนจบจาก
โรงเรียนการนวดไทยภูเก็ต โดย พินิจ สร้อยสุวรรณ อาจารย์แพทย์แผนไทย
ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้เล่าว่า

สมัยก่อนภูเก็ตนิยมนวดกันตามชายหาด
มีทั้งหมอนวดจริงและหมอนวดเถื่อน อ.พินิจ เมื่อเดินทางมาอยู่ภูเก็ตในปี
36 จึงคิดเปิดโรงเรียนการนวดไทยขึ้น
เพื่อให้ผู้นวดเข้าใจหลักการนวดและวิธีการนวด
โดยมุ่งเน้นไปเรื่องเส้นสำคัญของร่างกายที่ช่วยบำบัดรักษาโรค

แต่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างสูงของธุรกิจสปาและการนวดในปัจจุบัน
ส่งผลให้เกิดปัญหาบางประการตามมา ซึ่ง อ.พินิจ
ได้พูดถึงปัญหาหลักๆของการนวดในภูเก็ตว่า
ช่วงฤดูการท่องเที่ยวผู้ประกอบการจะไปเกณฑ์คนต่างถิ่นมาฝึกเป็นหมอนวดแบบ
เร่งด่วน โดยไม่ผ่านการเรียนทำให้ผู้นวดได้ทักษะผิดๆไป
และอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ถูกนวดได้

นอกจากนี้ผู้นวดบางคนยังนำวิชาการนวดไทยไปใช้ในทางที่ผิดคือ
นำไปใช้เพื่อเป็นสะพานสู่การมีสามีฝรั่งทำให้คนเข้าใจวงการนี้ผิด
ไม่เพียงเท่านั้นการที่มีผู้นำเรื่องการนวดไทยไปสมอ้างเพื่อขายบริการทางเพศ
ได้สงผลเสียใหญ่หลวงต่อภาพลักษณ์ของการนวดไทย

ด้วยเหตุนี้ อ.พินิจ
จึงเสนอหนึ่งในทางแก้ด้วยการให้เปลี่ยนจากสถานบริการร้านนวดทั้งหลายเป็น
สถานพยาบาลการนวดเพื่อรักษาโรค รักษาสุขภาพ
ทั้งนี้เพื่อให้คนเห็นว่าแยกออกจากกันชัดเจนจากบริการทางเพศที่มีบางแห่งแอบ
แฝงอยู่

สำหรับเรื่องปัญหาภาพลักษณ์ของการนวดไทยนั้นก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า
ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องจะจริงใจในการแก้ปัญหาแค่ไหน ถ้าจริงใจ และทำจริง
นั่นหมายความว่า เป้าหมายภูเก็ตเมืองสปาและเม็ดเงิน 4 แสนล้านบาทภายใน 5
ปี อาจจะอยู่ไม่ไกลเกินไป
* * * * * * * * * * * * *
* * * * * * * * * * * * * *
* * * * * * * * * * * * * *
* * * * * *
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076308

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น