++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตัดกรรม หงายบาตร เรื่องน่าอนาถของชาวพุทธ

ตัดกรรม หงายบาตร เรื่องน่าอนาถของชาวพุทธ
โดย สิริอัญญา 23 กรกฎาคม 2552 15:07 น.


เรื่องบิ๊กเซอร์ไพร์สในโอกาสครบรอบวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เริ่มชัดขึ้นทุกทีว่าเห็นท่าจะมีเรื่องเซอร์ไพร์สจริงๆ
เพราะล่าสุดนั้นนักการเมืองพรรคเพื่อไทยบางคนได้เปิดเผยว่าจะเป็นการทำ
พิธีกรรมตัดกรรม หงายบาตร ในโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จะหมดกรรมในวันที่ 26 กรกฎาคม ศกนี้

มีการแถลงว่าหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าและกลุ่มพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยทำพิธีกรรมคว่ำบาตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จึงต้องทำพิธีกรรมหงายบาตรโดยนิมนต์พระสงฆ์จำนวนหนึ่งมาทำพิธีสวดหงายบาตร
นั้น

และแถลงอีกว่ามีซินแสทำนายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จะสิ้นกรรมเก่าในวันที่ 26 กรกฎาคม ศกนี้ จึงจะมีการทำพิธีตัดกรรม
เพื่อให้พ้นจากบ่วงกรรมไปพร้อมๆ กัน โดยจะทำพิธีกรรมนี้ในหลายพื้นที่
และจะมีพระสงฆ์ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงและสนิทชิดเชื้อกับพระมหาเถระระดับสูงใน
มหาเถรสมาคมร่วมทำพิธีอีกด้วย

ก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีและอาจถือได้ว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์ส
สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหมู่คณะของท่าน
รวมทั้งเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สของบรรดาชาวพุทธทั้งหลายด้วย
รวมความก็คือเรื่องนี้เป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สจริง ๆ

แต่ น่าเสียดายว่าสิ่งที่เรียกว่าบิ๊กเซอร์ไพร์สที่กล่าวนี้กลายเป็นเรื่องหลงงม
งาย กลายเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนา
และกลายเป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชาที่ถ้าหากพระสงฆ์เข้าเกี่ยวข้องแล้วก็ย่อม
เป็นการละเมิดศีลและทรยศต่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้

ก็ไม่ตำหนิติเตียนอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องนี้ดอก
เพราะชะตากรรมของท่านในวันนี้เป็นชะตากรรมที่มีความทุกข์มากกว่าคนอื่นๆ
ดังนั้นสิ่งใดจะประโลมใจให้สร่างหายคลายทุกข์ได้ก็จำเป็นต้องไขว่คว้าเอาไว้
ดังที่เคยเป็นมาหลายครั้งหลายหน
จนกลายเป็นการเปิดช่องให้คนบางพวกทำมาหากินกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว

แต่จะสร่างหายคลายทุกข์ได้จริงหรือไม่ ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพระศาสนา
ดังนั้นจึงควรทำความรู้ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นเพื่อจะได้รู้อย่างถูกต้อง
เข้าใจอย่างถูกต้อง อันจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไปด้วย

เอากันเรื่องแรกก่อน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะหมดกรรมในวันที่
26 กรกฎาคม นี้จริงหรือไม่?

นักการเมืองท่านที่กล่าวเรื่องนี้ได้อ้างเอาคำทำนายของซินแสซึ่งก็
บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นผู้อยู่นอกพระพุทธศาสนา
จึงมีปัญหาว่าซินแสผู้นี้จะมีญาณขั้นสูง
คือบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณหรือไม่
เพราะหากไม่บรรลุถึงญาณทั้งสองนี้แล้ว
ก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้กรรมในอดีตชาติของใคร
และไม่มีทางที่จะล่วงรู้อนาคตชาติของใคร

การที่บุคคลใดจะบรรลุถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณนั้น
ก็คือผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา
เป็นผู้อยู่ในกระแสของความเป็นพระอริยเจ้า
เหลือเพียงขั้นเดียวก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว
คือเมื่อบรรลุญาณที่สาม
ได้แก่อาสวัคขยญาณเมื่อใดก็ถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

การบรรลุถึงญาณดังกล่าวนี้มีวิถีทางปฏิบัติอยู่ก็แต่ในพระพุทธศาสนา
เท่านั้น ดังนั้นคำอ้างของซินแสดังกล่าวจะเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด
และควรเป็นที่น่าเชื่อถือของใคร ก็พอจะเห็นกระจ่างแจ้งอยู่ในตัวแล้ว

ปัญหา ถัดมาก็คือ กรรมนั้นสามารถตัดให้ขาดสิ้นสวาทสายใยได้หรือ?
หากสามารถทำพิธีกรรมใดๆ
ที่จะตัดกรรมไม่ให้มีวิบากส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมได้ดังที่กล่าวอ้างแล้ว
ก็เท่ากับเป็นการหักล้างคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสิ้นเชิง
และถือเป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาไปพร้อมกันด้วย

เพราะในพระพุทธศาสนานี้
พระบรมศาสดาทรงตรัสย้ำแล้วย้ำอีกเป็นอันมากว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตาม
กรรม ไม่มีใครหลีกลี้หนีกรรมไปได้
ทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
นี่คือหลักกรรมในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักสำคัญมั่นคง
จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจหนึ่งของพระพุทธศาสนาก็ได้

หากสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้วิบากแห่งกรรมส่งผลได้จริงดังที่
กล่าวอ้าง ก็เท่ากับว่ากฎแห่งกรรมนี้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
เป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง
เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีพระพุทธศาสนาและคำสอนของ
พระบรมศาสดาทั้งปวง ก็จะไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป

เพราะ ใครจะทำดีทำชั่วประการใดก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเกรงบาปกลัวกรรมกันอีกต่อไปแล้ว
จะทำชั่วช้าเลวทรามหรือสร้างบาปกรรมอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวว่าวิบากกรรมจะตาม
สนอง เพราะสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้ตอบสนองได้

ในพระพุทธศาสนาก็ดี ในพิธีกรรมฝ่ายพราหมณ์ก็ดี
ไม่เคยมีพิธีกรรมตัดกรรมมาก่อน
สำหรับในศาสนาพราหมณ์นั้นอย่างมากก็มีแต่พิธีกรรมสวดอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้า
เพื่อให้เมตตาช่วยเหลือผ่อนหนักให้เป็นเบา
แม้กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถตัดกรรมได้เลย

ดังนั้นจึงไม่มีทางตัดกรรมให้หมดสิ้นไปได้
ใครทำกรรมใดก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอ
คำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในเรื่องนี้ แม้วันเวลาผ่านไปนานปีแล้ว
แต่ก็เป็นธรรมที่ใครทำแล้วย่อมได้รับผลเสมอกัน ไม่ว่าในกาลไหนๆ
และไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
และไม่มีใครมีความสามารถที่จะตัดวิบากแห่งกรรมได้
ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ชั้นไหนก็ตาม

หาก เป็นพระสงฆ์แล้วไปริเริ่มเข้าร่วมหรือทำพิธีตัดกรรมแล้ว
ก็ย่อมเป็นไปดังสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสตำหนิติเตียนว่าเป็นการ
กระทำในสิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
หากพูดในเรื่องนี้ก็ทรงติเตียนว่าเป็นการกล่าวเดรัจฉานกถา
ไม่ใช่การกระทำของพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยแห่งพระ
ตถาคตเจ้าเลย

ในประการสุดท้าย
ที่อ้างว่าจะมีการทำพิธีสวดหงายบาตรเพื่อแก้พิธีกรรมคว่ำบาตร
ซึ่งหลวงตาพระมหาบัวและพระสายป่าได้ทำพิธีไว้นั้น ก็เป็นเรื่องประหลาดอีก

ชาว พุทธย่อมรู้ว่าการคว่ำบาตรนั้นเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของคณะสงฆ์ที่ประกาศ
ตัดความสัมพันธ์กับคนใดคนหนึ่งว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป

สาเหตุของการที่จะคว่ำบาตรนั้นย่อมไม่ใช่เหตุเล็กน้อย
แต่ต้องเป็นเหตุใหญ่ เช่น เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสงฆ์
ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเสมอด้วยการทำร้ายพระอรหันต์หรือฆ่าบิดามารดา
เป็นอันตัดหนทางนิพพานอย่างสิ้นเชิง
หรือการกระทำที่มีลักษณะในการทำลายพระศาสนา ทำลายพระธรรม ทำลายพระสงฆ์
เมื่อมีเหตุใหญ่ๆ
เช่นนี้พระบรมศาสดาทรงมีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์กระทำการคว่ำบาตรต่อผู้นั้น
ไม่คบหายุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป

พิธีกรรมดังกล่าวเคยได้ยินมาว่ามีการกระทำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อันเป็นการประกาศตัดความสัมพันธ์และไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
นั่นคือหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าได้มีมติร่วมกันที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว
หรือสัมพันธ์ใดๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปอีก

แต่ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่คณะสงฆ์เห็นว่ามีกรรมอันควรแก่การอภัยให้แก่ผู้ที่ถูก
คว่ำบาตร ก็มีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์ยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นได้
ซึ่งต้องทำเป็นพิธีกรรมในสงฆ์คณะที่ทำการคว่ำบาตรนั้น
โดยมีคำสวดประกาศหงายบาตรคือยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นเสีย

การสวดหงายบาตรจึงต้องสวดโดยคณะสงฆ์ผู้คว่ำบาตร
ไม่ใช่สงฆ์หรือสมณะพราหมณ์เหล่าอื่น ซึ่งไม่มีผลอะไรเลย
หากคณะสงฆ์ที่คว่ำบาตรยังไม่เห็นกรรมอันควรแก่การอภัยโทษให้

ส่วนพิธีกรรมสวดหงายบาตรนั้นก็ไม่มีอะไรมาก
เป็นเรื่องประชาธิปไตยในคณะสงฆ์
ซึ่งจะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ว่าบัดนี้ผู้ที่ถูกคณะสงฆ์คว่ำ
บาตรนั้นได้สำนึกผิด กลับตัวกลับใจ ประพฤติตนดีงาม
สมควรแก่การให้อภัยแล้ว
จึงขอเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ให้พิจารณาว่าจะเพิกถอนการคว่ำบาตรหรือไม่
หากสงฆ์เห็นสมควร ก็ขอให้กระทำการนิ่งโดยดุษณี
และร่วมกันประกาศหงายบาตรเถิด

เมื่อ มีการเสนอญัตติที่ว่านี้แล้ว
หากคณะสงฆ์เห็นควรแก่การให้อภัย ก็จะพร้อมใจกันสวดหงายบาตร
คือประกาศว่าตามที่ได้คว่ำบาตรกับผู้นั้นไว้ บัดนี้คณะสงฆ์ให้อภัย
พร้อมจะคบหาสมาคมต่อไปแล้ว

ก็เป็นการเสนอญัตติและการลงมติ
ตลอดจนแสดงท่าทีของคณะสงฆ์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไม่ใช่ความลี้ลับอัศจรรย์หรือเป็นอาถรรพ์หรือไสยศาสตร์หรือแก้พิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์แต่ประการใดเลย

ดัง นั้นพุทธบริษัททั้งปวงจึงไม่พึงเห็นพิธีกรรมอันเปิดเผย
บริสุทธิ์ และเป็นอภัยธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องไสยศาสตร์
เป็นเรื่องลี้ลับ ตามความคิด ความเข้าใจและความเชื่อของคนโง่เป็นอันขาด.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000083363


กรรมถ้าไม่ใช่อนันตริยกรรมแล้ว สามารถทอนลงได้ หนักเป็นเบา
โดยการทำกรรมที่เหนือกว่า
เช่น คนมีทุกข์ หากยกจิตตนจนได้ฌานสมาบัติ จะสามารถประสพสุข
และกำหราบวิบากที่เผชิญอยู่
คือมีสุขล้นเหลือเกิดขึ้นจนสามารถบรรทเทาทุกข์วิบากได้
หรือ การไถ่ชีวิตสัตว์อื่นๆด้วยเมตตาธรรมจริงๆของหัวใจก็สามารถทำให้บุคคลนั้นที่กำลังถูกมรณะภัยเบียดเบียนกลับกลายเป็นคนอายุยืนได้

นาย ทักษิณน่ะ ถูกคว่ำบาตรด้วยเรื่องอันเดียว คืออกตัญญูต่อธรรม
ต่อครูอาจารย์ผู้หวังดีต่อตัวมัน ดื้อ พยายามเอาชนะครูบาอาจารย์
ต่อหน้าก็ทำเป็นว่านอนสอนง่าย ลับหลัง มันสู้พระหลวงตาตลอด
เพราะหลวงตาท่านห้ามมัน ห้ามไม่ใ้ห้โลภเิกินมนุษย์มนา
ห้ามไม่ให้แตะเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
มันก็ขัดอกขัดใจ ใส่ร้ายคนโน้นคนนี้ว่าหาเรื่องใส่ นายทองก้อนคนนึงล่ะ
โดนเข้าเอ๋อไปเลย

จาก นั้นก็ไปประจบคนโน้นคนนี้ สำนักโน้น สำนักนี้
ทำเอาคนซื่อๆที่หลงไปเชื่อมัน หันมากระทบกระทั้งกันเอง กับ
ลูกศิษย์พระด้วยกันนี่แหละ ที่ออกค้นหาความจริง
นั่นคือมันสร้างรอยร้าว ไว้กับหมู่สงฆ์

โดย ที่สงฆ์รู้ทันมัน กับ สงฆ์ที่หลงเชื่อมัน
เกิดความเห็นแตกต่างกันขึ้นมา แต่ปล่อยไว้ไม่ได้ มันตัวภัย
เข้าทำนองประจบให้เชื่อ แล้วไล่บี้ทำลาย ครูอาจารย์ที่เห็นโทษของมัน

ต้องอาศัยกาลเวลาและการปรากฏตัวของพันธมิตร เรื่องต่างๆจึงอธิบายได้ในตัวเอง

คนเราถ้ามีจิตใจดี อยู่วัดก็จะใจงามเหมือนพระ
อยู่วงราชการก็เป็นข้าราชการที่ดี เป็นเด็กก็เด็กดี

ถ้าแบบนายทักษิณ กะล่อนเห็นแต่ประโยชน์ตัวเอง เป็นเด็กก็เรียกว่ารอบจัด
อยู่วัดก็เรียกแก่วัด อยู่วงราชการก็ทำลายส่วนรวม

การ หงายบาตรน่ะ ต้องไปขมาโทษต่อสงฆ์ที่ตนได้ล่วงเกินท่าน หลอกใช้ท่าน
หลอกท่าน กัดท่านลับหลัง เนรคุณต่อท่าน โดยสำนึกผิดอย่างจริงจังเท่านั้น
เรียกว่าไม่มีเงื่อนไข
คือประกาศตัวว่าตนเองคือผู้รับผิดชอบการสร้างรอยร้าว
ความเข้าใจผิดในหมู่ท่านผู้มีศีล

แล้วพระที่ตัวเขาไปล่วงเกินน่ะ คือพระที่ประกาศยึดมั่นในธรรมวินัยนะ อะไรซื้อไม่ได้

พิธีกรรม หงายบาตรของพระปุถุชนธรรมดา ต่อให้ยศสูงขนาดไหนก็เุถอะ
ไม่มีพลังพอไปหงายบาตรที่พระอริยะเจ้าท่านคว่ำไว้หรอก ป่วยการเปล่า
เสียเงินเปล่า

แต่ก็ดี จะได้รู้ว่า พระอริยเจ้าในป่าน่ะ ท่านทรงคุณธรรม ทรงวินัย
ทรงความศักดิ์สิทธิ์ ผิดกับพระธรรมดา ติดแอร์ กินข้าวเสร็จดูทีวี
ตกค่ำต้มมาม่า
โดนหลอกเอาเงินอีก

---

ความผิดร้ายแรงไม่สามารถแก้ได้หรอกนะจะบอกให้
1.ขโมยของสงฆ์ (ที่ดินสงฆ์)
ครั้งเป็นนายกพยายามที่จะออกกฎหมายเอาที่ของสงฆ์อีกต่างหาก
2. รบหรู่พระสังฆราช พระอรหันต์ (หลวงมหาตาบัว)
3.เนรคุณแผ่นดินสิ่งสำคัญยิ่งทำตัวเสมอเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้อนี้กรรมหนักมาก
สมัย ก่อนบิดามารดาสอนลูกเสมอว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านมีพระคุณต่อแผ่นดินอย่ารบ
หรู่พระองค์ท่าน
ที่ใดที่พระองค์ท่านประทับนั่งอย่างไปนั่งเด็ดขาดขี้กลากจะขึ้นหัว
เป็นการสอนให้รู้ว่าที่ต่ำที่สูง
พระองค์ท่านเป็นผู้มีบุญญาธิการมากมายนัก
พระองค์ท่านสะสมบุญมาหลายแสนชาติการที่จะได้เป็นพระเจ้าอยู่หัวได้นั้นต้อง
เป็นผู้ที่สร้างบุญมามาก
แต่ไอเหลี่ยมกับตีเสมอพระองค์ท่านบัดนี้บุญมันหมดแล้วรอรับกรรมไปเถอะอย่าง
มาทำให้พระองค์ท่านต้องทุกข์พระทัยที่เห็นประชาชนต้องแตกแยกเพราะมันคนเดียว
เลย
เห็นแล้วยังท่านทั้งหลาย(เสื้อแดง) จงหยุดทำกรรมเถอะ
เดีวยจะได้รับกรรมรวมกับไอเหลี่ยมแล้วจะหาไว่ไม่เตือน
สายเสียแล้ว

--

กฎแห่งกรรม เป็นกฎของจักรวาล ไม่มีใครเอาชนะได้
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
ในศาสนาอื่นก็จะมีคำสอนที่บ่งบอกถึงกฎแห่งกรรม เช่น You reap what you
sow. หมายถึงปลูกสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น
ไม่ใช่ปลูกข้าวแล้วจะเก็บเกี่ยวข้าวโพด ซึ่งหมายถึงเราทำอะไรไว้
ก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น หรือรู้จักกันในชื่อ The Law of Cause and
Effect (กฎของเหตุและผล) พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ตั้งแต่ต้นว่า
สิ่งที่ท่านค้นพบเป็นความจริงที่มีอยู่แล้ว
นอกจากนั้นท่านยังบอกว่าความจริงที่ท่านค้นพบเปรียบเสมือนใบไม้ในหนึ่งกำ
เทียบกับใบไม้ทั้งป่าที่เป็นความจริงที่มีอยู่ในจักรวาล
ทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนมีความจริงของมัน
พระอรหันต์คือผู้ที่เห็นความจริงของชีวิต จึงไม่เป็นทุกข์กับชีวิต

ดัง นั้นคนที่พยายามฝืนกรรม ก็คือคนที่พยายามฝืนกฎธรรมชาติ
ซึ่งน่าจะเป็นกรรมที่ส่งผลร้ายแรง
เพราะคนไม่มีทางอยู่เหนือธรรมชาติได้ด้วยกฎแห่งกรรม

สาธุชนคนธรรมดา
สาธุชนคนธรรมดา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น