++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อย่าให้ประเทศไร้ซึ่งความเป็นนิติรัฐเพราะข้อหาการก่อการร้าย

อย่าให้ประเทศไร้ซึ่งความเป็นนิติรัฐเพราะข้อหาการก่อการร้าย
โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ


บทความนี้ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเสนอบทความทางวิชาการเพื่อให้ข้อคิดแก่
ประชาชนและบุคคลซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่และอยู่ในฐานะเป็นบุคคลชนชั้นของการ
เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน
ผู้เขียนไม่มีเจตนาฝักใฝ่ในทางการเมืองแต่อย่างใด
แต่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับผิดชอบในการทำหน้าที่เป็นองค์กรของรัฐในการ
บริหารราชการแผ่นดินได้ตระหนักถึงภาวะหน้าที่ที่จะต้องรักษา
"รัฐ"หรือ"ประเทศ"
ให้คงมีสถานะของการเป็นนิติรัฐโดยต้องจรรโลงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันเป็น
หน้าที่ของการบริหารราชการแผ่นดินที่ต้องกระทำตามหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญได้
บัญญัติไว้

จากข่าวซึ่งออกสู่สาธารณะในระยะ 2-3 วันที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกและกล่าวหาประชาชนจำนวน
หนึ่ง ซึ่งได้ทำการชุมนุมประท้วงรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ( ฝ่ายบริหาร )
รวมถึงผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ( จำนวนหนึ่ง )
ที่พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอันมิใช่เพื่อประโยชน์ของ
ประชาชน การชุมนุมประท้วงต่อต้านได้ใช้เวลายาวนานจนเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีใหม่ด้วยเหตุ
อื่นอันมิใช่เป็นการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเพราะการประท้วงที่มีมาตั้งแต่ต้น
การประท้วงได้ติดต่อเป็นเวลาเกือบ 200 วัน
ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของประชาชนก็ได้เกิดเหตุการณ์อันเนื่องมาจากการ
บริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร
ซึ่งทำให้ประชาชนผู้ชุมนุมประท้วง (รวมทั้งประชาชนทั่วไป)
มีความวิตกกังวลถึงการสูญเสียอธิปไตยแห่งดินแดนให้แก่รัฐต่างประเทศ
หรือเสื่อมเสียไปซึ่งเอกราชในดินแดนบริเวณรอบหรือต่อเนื่องกับเขาพระวิหาร
อันเนื่องมาจากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร
การชุมนุมประท้วงซึ่งมีที่มาของเหตุที่ไม่ให้รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารในขณะนั้น
ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (ไม่ต้องการให้แก่รัฐธรรมนูญ)
อันเป็นสิทธิของประชาชนที่จะต่อต้านโดยสันติวิธีที่จะไม่ให้รัฐบาลหรือฝ่าย
บริหารแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อช่วยเหลือบุคคลเพื่อให้พ้นจากการกระทำอันเป็นความผิดทางอาญาและกลับมา
ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินอันเป็นวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
และเมื่อมีกรณีปราสาทพระวิหารเกิดขึ้นในห้วงเวลาดังกล่าว
อันเกิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารในขณะนั้น
ก็เป็นการตอกย้ำถึงความชอบธรรมของประชาชนผู้ชุมนุมต่อต้านการใช้อำนาจในการ
บริหารราชการแผ่นดินของผู้มีอำนาจรัฐมากยิ่งขึ้น
การชุมนุมต่อต้านของประชาชนจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 63 มาตรา 69 มาตรา 70 มาตรา 71
และบริบทแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนรวมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม

จากการชุมนุมประท้วงดังกล่าวได้มีการใช้สถานที่ในการชุมนุมในบริเวณ
สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
เพราะปรากฏข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลได้ใช้อาคารสนามบินดอนเมืองเป็นที่ประชุมคณะ
รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ( นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์)
ไปประชุมในต่างประเทศและกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย
ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นสาธารณะได้มีการออกข่าว
ไปทั่วประเทศและทั่วโลกทั้งทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนและประชาคมโลก
และผู้เขียนก็ได้รับทราบจากข่าวที่ปรากฏเป็นที่สาธารณะด้วยเช่นกัน

การตั้งข้อกล่าวหาที่เป็นการกระทำความผิดทางอาญา
จึงต้องพิจารณาจาก "การกระทำ" (ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผล)
ซึ่งต้องพิจารณาถึงต้นเหตุแห่งการกระทำว่าผู้กระทำมีจุดประสงค์ในผลอย่างไร
หรือการกระทำนั้นย่อมเล็งเห็นได้หรือไม่ว่าจะเกิดผลขึ้นตามข้อกล่าวหาหรือ
ไม่ ถ้าการกระทำนั้นไม่ได้ประสงค์ต่อผลของการก่อการร้าย
หรือไม่ได้เกิดผลของการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายแล้ว
พนักงานสอบสวนจะตั้งข้อหาก่อการร้ายหาได้ไม่
(ผู้เขียนจะไม่ก้าวล่วงไปถึงปัญหาว่าใครเป็นผู้สั่งปิดสนามบินเพราะจะหมิ่น
แหม่กับบทความที่ผู้เขียนประสงค์ให้เป็นบทความทางวิชาการเท่านั้น)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า ในขณะที่สนามบินหยุดให้บริการ
ไม่มีการให้บริการในการบินนั้น
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล
ทำให้รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารหมดอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินลง
ผู้ชุมนุมต่อต้านก็ได้ประกาศยุติการชุมนุมในทันทีและแยกย้ายกันกลับบ้าน
การกระทำของผู้ชุมนุมต่อต้านจึงเป็นการกระทำที่มีมูลเหตุอันเนื่องมาจากคัด
ค้านต่อต้านมิให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถี
ทางแห่งรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกระทำของผู้ชุมนุม
ได้กระทำต่อเนื่องกันมา ซึ่งถือได้ว่า
เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวที่กระทำต่อเนื่องกันมา
โดยมีมูลเหตุของการใช้สิทธิชุมนุมตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญ
เจตนาของการชุมนุมได้แสดงออกต่อสาธารณะชน
โดยการประกาศเจตนารมณ์ของกลุ่มผู้นำชุมนุมและโดยการกระทำของผู้เข้าร่วม
ชุมนุม อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณชนและประชาคมโลกอย่างชัดแจ้ง

ข้อหาการก่อการร้าย เป็นการกระทำความผิดที่ต้องมีเจตนาพิเศษ
ผู้กระทำต้องกระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย
รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันก่อ
ให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย และเป็นการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย
หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
หรือเป็นการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่ง
สาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือ โครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด
หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม
อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายของเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
(ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1)
มูลเหตุแห่งการชุมนุมเกิดจากการกระทำของการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของ
รัฐบาลที่ได้แสดงออกว่าจะทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา
เพื่อให้เกิดผลประโยชน์เฉพาะเรื่องที่มิใช่ประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมก็ดี
การบริหารราชการแผ่นดินในกรณีปราสาทพระวิหาร
ซึ่งเป็นที่เคลือบแคลงว่าประเทศจะสูญสิ้นไปซึ่งอธิปไตยแห่งดินแดนก็ดี
การชุมนุมดังกล่าวจึงมิได้เจตนาพิเศษในการกระทำการก่อการร้ายแต่อย่างใด

เมื่อพูดถึงการกล่าวหาเป็นคดีอาญากับบุคคลใดหรือกับประชาชนคนใดแล้ว
คนมักจะเข้าใจว่า กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้
ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางอาญา
ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนไป พนักงานอัยการสั่งฟ้อง
และให้ศาลตัดสินไป ซึ่งมักจะพูดกันว่าให้ไปพิสูจน์กันในศาล
ซึ่งผู้เขียนได้ยินจากคำพูดของผู้มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน
หรือนักการเมืองผู้ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินอยู่เสมอ
การพูดเช่นนั้นเป็นการพูดที่เข้าใจในหลักการของการบริหารราชการแผ่นดินและ
หลักรัฐธรรมนูญอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ซึ่งก่อให้เกิดความอยุติธรรมขึ้นในแผ่นดินอย่างทั่วหน้ามาจนทุกวันนี้
การที่บุคคลใดถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา ถูกสอบสวนเป็นคดีอาญานั้น
เป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ตลอดจนชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติคุณทั้งของตนเองและของบุคคลในครอบครัว
ซึ่งได้รับการกระทบกระเทือนไปด้วย
สถานภาพของบุคคลที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญาในทางสังคมและเศรษฐกิจจะถูกกระทบ
และเปลี่ยนแปลงในทันทีรัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพของ
บุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีอาญาไว้อย่างชัดแจงใน "
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม" โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 39 ว่าจะต้องมี
"การกระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้"
กับได้บัญญัติไว้มาตรา 40 ( 4 ) ว่า " ผู้ต้องหา
หรือจำเลยในคดีมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวน
การยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
เป็นธรรม" และมาตรา 40 ( 7 ) ว่า " ในคดีอาญา ผู้ต้องหา
หรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวน หรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว
และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ
การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร
การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ
และการได้รับการปล่อยชั่วคราว" ซึ่งกล่าวได้ว่า
สิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่จะถูกกล่าวหาดำเนินคดีอาญานั้น
พนักงานสอบสวนจะต้องทำการสืบสวนสอบสวนแล้ว
มีการกระทำความผิดอันเป็นการก่อการร้ายเกิดขึ้นจริง
มีผู้กล่าวโทษหรือมีผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าวและพนักงานสอบ
สวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วมีมูลการกระทำความผิดตามที่กล่าวโทษ
ร้องทุกข์แล้ว หรือพนักงานสอบสวนพบเห็นการกระทำความผิดเองแล้วทำการสืบสวนสอบสวนว่ามีการ
กระทำความผิดเกิดขึ้นจริงและมีผู้กระทำความผิด
มีพยานหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนนั้นแล้ว
เพราะผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้องตั้งแต่การ
เริ่มต้นของการถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา
สิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่จะถูกดำเนินคดีอาญา
เป็นสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับรองไว้โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง
ตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ดังกล่าว

ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญได้บัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้ในหมวด
ที่ 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเป็นเรื่องที่ทุกองคาพยพที่บริหารงานแผ่นดิน
หรือที่เรียกว่าอำนาจ อธิปไตย (SOVEREIGNTY ) หรือที่เรียกว่าอำนาจรัฐ
(ซึ่งก็คืออำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ
องค์กรที่ใช้อำนาจอิสระตามรัฐธรรมนูญ)
จะต้องยึดถือปฏิบัติตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐทั้งสิ้น
และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้บัญญัติ
แนวนโยบายด้านกฎหมายและความยุติธรรมไว้ใน มาตรา 81 ว่า "
รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรมดังต่อไปนี้ ( 1 )
ดูแล ให้มีการปฏิบัติและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
เป็นธรรม และทั่วถึง............และจัดระบบงานราชการและงานรัฐอย่างอื่นในกระบวนยุติธรรมให้มี
ประสิทธิ์ภาพ.................. ( 2 )
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิดทั้งโดยเจ้าหน้าที่
ของรัฐและโดยบุคคลอื่น
และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน."
เมื่อปรากฏว่าการสอบสวนคดีอาญาเป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาซึ่งเป็นอำนาจ
รัฐของฝ่ายบริหาร
เพราะการสอบสวนเป็นหน่วยงานของฝ่ายบริหารอยู่ในอำนาจการควบคุมดูแลและบริหาร
ราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร
ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลจึงมีหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่จะต้องดูแล
ให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติการและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย
อีกทั้งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
หรือประชาชน ให้พ้นจากการล่วงละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
โดยพนักงานสอบสวนจะกล่าวหาบุคคลใดเพื่อที่จะสอบสวนบุคคลนั้นในการกระทำอันมิ
ใช่ความผิดอาญานั้นหาได้ไม่
ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลไม่อาจปล่อยปละละเลยให้พนักงานสอบสวน
ดำเนินการสอบสวนในความผิดโดยไม่มี "การกระทำความผิด" ได้แต่อย่างใดไม่
เพราะบุคคลไม่ต้องรับโทษในทางอาญาเว้นแต่ได้ "กระทำการ"
อันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้
(รัฐธรรมนูญมาตรา 39)
เมื่อบุคคลหรือประชาชนไม่ได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว
อำนาจในการกล่าวหาเป็นความผิดและอำนาจในการสอบสวนเป็นความผิดอาญาของพนักงานสอบสวนไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย
ซึ่งพนักงานสอบสวนจะทำการกล่าวหาหรือเรียกให้มารับข้อกล่าวหาหรือทำการสอบ
สวนไม่ได้เลย เพราะอำนาจอธิปไตย (SOVEREIGNTY) เป็นของปวงชนชาวไทย
ประชาชนจึงไม่ใช่เป็นลูกฟุตบอลที่จะถูกเขี่ยลงกลางสนามเพื่อให้ผู้ใช้อำนาจ
รัฐในกระบวนการยุติธรรมเตะเล่นกลางสนามตามอำเภอใจด้วยวิธีการส่งให้พนักงาน
อัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการสั่งฟ้อง
โดยจะเห็นว่าศาลเป็นสนามฟุตบอลนั้นหาได้ไม่
ประชาชนไม่ใช่วัตถุที่จะถูกกระทำโดยผู้ใช้อำนาจรัฐ
แต่ประชาชนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรัฐและเกิดการใช้อำนาจรัฐ
การใช้อำนาจรัฐจึงต้องดำเนินการเพื่อประชาชน
การใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรจึงเป็นอำนาจรัฐที่ถูกจำกัดซึ่งสิทธิของการใช้อำนาจรัฐ
( LIMITED SOVEREIGNTY)
โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติการจำกัดสิทธิของการใช้อำนาจรัฐไว้ ในมาตรา 26
ว่า "การใช้อำนาจรัฐโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร (นิติบัญญัติ บริหาร
และตุลาการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานของรัฐ)
ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ"
และรัฐธรรมนูญยังได้บัญญัติให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ในมาตรา 27 อีกว่า
"สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้งหรือปริยาย
หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครอง
และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และหน่วยงานของรัฐโดยตรง ในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย
และการตีความกฎหมายทั้งปวง "

การถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญาในข้อหาก่อการร้ายหรือข้อหาใดก็ตาม
การถูกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา การดำเนินการสอบสวนคดีอาญา
เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้ให้ความคุ้มครองไว้ทั้ง
สิ้นโดยบัญญัติไว้ในเรื่อง "สิทธิในกระบวนการยุติธรรม" ตามมาตรา 39
และมาตรา 40 ดังกล่าว
และเมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ที่จะถูกดำเนินคดีอาญาไว้แล้วว่า
บุคคลจะถูกดำเนินคดีอาญาจะต้องมีการกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
(มาตรา 39 ) และจะต้องได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้องและเป็นธรรม (มาตรา 40)
ซึ่งผูกพันคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27 แล้ว
คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร
จึงมีหน้าที่ต้องตรวจสอบการใช้อำนาจของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นองค์กรของฝ่าย
บริหารถึงการกระทำอันกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดนั้นว่ามีมูลของการกระทำ
ความผิดอาญาจริงหรือไม่ (PRIMA FACIE หรือ NON PRIMA FACIE)
และกระบวนการยุติธรรมที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนในการกระทำจนมีการตั้งข้อหา
การก่อการร้ายนั้น
เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ (CRIMINAL
PROCEDURE DUE PROCESS OF LAW )
อำนาจการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ที่ฝ่าย
บริหารต้องปฏิบัติในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
และไม่ใช่เป็นการแทรกแซงการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมแต่
อย่างใด อีกทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลและตนเองเป็นผู้มีอำนาจใน
การตรวจสอบการดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27
กระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นโดยมีการกล่าวหาเป็นความผิดอาญานั้น
มิใช่เป็นความผิดอาญาตามธรรมดาสามัญโดยทั่วไป แต่เป็นความผิดอาญาสากล
(INTERNATIONAL CRIME)
และมีการกล่าวหาบุคคลซึ่งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของประเทศ
มีการกล่าวหาบุคคลซึ่งประกอบสัมมาอาชีพโดยเปิดเผย
และเป็นสัมมาอาชีพที่เกี่ยวกับสื่อสาธารณะ
ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เสียหายกับประเทศชาติและประชาชนอย่างมหาศาล
หากข้อกล่าวหานั้นไม่มีมูลความผิดอาญา
รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารจะต้องตรวจสอบกระบวนการกล่าวหาเป็นคดีอาญาในข้อหาการ
ก่อการร้ายและกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนให้เกิดความชัดเจนต่อสาธารณชน
และประชาคมโลกเสียก่อน ผู้ใช้อำนาจบริหาร ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ
ไม่มีสิทธิตามกฎหมายใดๆที่จะเรียกร้องให้รัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร
ที่ถูกกล่าวหาให้ลาออก แต่ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ
ผู้ใช้อำนาจบริหารจะต้องร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27
เพราะสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้นั้นผูกพันรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาล
รวมทั้งองค์กรรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐในการใช้บังคับกฎหมาย
และการตีความในกฎหมาย ในข้อหาการก่อการร้ายด้วยกันทั้งสิ้น
และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ปรากฏต่อสาธารณชนและประชาคมโลกเป็นที่ประจักษ์
แล้ว การละเลยในการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการกล่าวหาเป็นคดีอาญาใน
ความผิดอาญาที่มีลักษณะเป็นความผิดอาญาสากล
แต่กลับเรียกร้องให้รัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินลาออก
จากตำแหน่งนั้น ย่อมเป็นการแสดงออกให้เห็นซึ่งการขาดองค์ความรู้ของการทำหน้าที่การใช้อำนาจ
อธิปไตย (SOVEREIGNTY)
ของประชาชนในการบริหารงานแผ่นดินและขาดไร้การรักษาไว้ซึ่งความเป็นประเทศที่
ใช้หลักนิติรัฐโดยสิ้นเชิง
และรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาก็จะลาออกจากการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้
โดยเฉพาะการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เพราะการลาออกย่อมเป็นการประจานให้ประชาคมโลกเห็นได้ว่าประเทศไทยนั้นไร้
แล้วซึ่งความเป็นนิติรัฐ

พนักงานสอบสวนจะต้องไม่หวั่นไหวจาการกระทำหน้าที่ของตนในการสืบสวน
สอบสวนคดีอาญา ถ้ามีหลักฐานและได้ดำเนินการมาโดยชอบด้วยกฎหมายถูกต้องตามกระบวนการของ
กฎหมาย (DUE PROCESS OF LAW) แล้ว
ก็ต้องดำเนินการต่อไปตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
แต่ถ้าได้ดำเนินการมาโดยไม่ชอบเพราะหลงผิดหรือด้วยเหตุอื่นใดอันมิใช่เป็น
กระบวนการยุติธรรมที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
เพื่อรักษาไว้และแสดงออกให้เห็นความเป็นนิติรัฐของประเทศชาติให้เป็นที่
ประจักษ์ของสังคมโลกต่อไป

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077757

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น