++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"กษิต" ต้องยืนหยัดสู้กับเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม

"กษิต" ต้องยืนหยัดสู้กับเงื้อมมือแห่งความอยุติธรรม
โดย สิริอัญญา


และแล้วนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ก็ได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าต้องหาในความผิดทางอาญาฐาน
ก่อการร้ายสากล ซึ่งสร้างความตะลึงงันให้แก่ประชาชนและบรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวง

พลันที่มีการตั้งข้อหา
ก็เกิดการขับเคลื่อนเป็นขบวนใหญ่จากผู้คนในระบอบทักษิณ
กดดันเรียกร้องในทุกวิถีทางให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่ง

ขณะ เดียวกันก็มีเรื่องทะแม่งๆ เกิดขึ้นในวงรัฐบาล
โดยรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงควงแขนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกไป
เจรจาความเมืองกับนายฮุนเซนถึงแดนกัมพูชาถึง 2 ครั้ง
ในเวลาห่างกันเพียงแค่สัปดาห์เดียว โดยไม่มีนายกษิต ภิรมย์
ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในกิจการด้านต่างประเทศร่วมคณะเดินทางไปด้วย

เป็นการเดินทางไปเจรจาความเมืองโดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศไม่มี
โอกาสได้รับรู้เลยว่าไปเจรจากันเรื่องอะไร ตกลงอะไรกันบ้าง
คงได้ยินแต่ข่าวอันสับสนว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติจำนวน
มหาศาลในอ่าวไทย
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ในพื้นที่อ่าวไทย ยึดโยงขึ้นไปตลอดแนวชายแดนภาคตะวันออก
อีสานใต้และอีสานเหนือ

จึงเกิดความกังขาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางว่าเป็นเรื่องอันใดกัน
แน่ และเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงว่าไม่มีการตกลงเรื่องใดๆ
กัน ไทยยังคงรักษาจุดยืนดังเดิมถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในเวลาแค่ 2
วันติดต่อกัน

เกิด อะไรขึ้นในบ้านเมืองของเรา?
เกิดอะไรขึ้นในวงรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ?
และเกิดอะไรขึ้นต่อภาคประชาชน โดยเฉพาะประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์
กษัตริย์ทั่วประเทศ?

มันเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่งที่เหตุการณ์และปรากฏการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ประหนึ่งสอดรับประสานงานกัน
และเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการจัดขบวนไล่ล่าตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ในต่างประเทศเพื่อนำตัวกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

อันข้อหาการก่อการร้ายสากลนั้น
เป็นกฎหมายใหม่ที่ยังไม่เคยมีการบังคับใช้กับคนไทยคนใดมาก่อนเลย
แต่เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาที่รุนแรงหนักหนาสาหัส พอๆ
กันกับการก่อการกบฏในราชอาณาจักร

องค์ประกอบสำคัญของการทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลคือการใช้กำลังประทุษร้ายต่อระบบขนส่งสาธารณะของประเทศ
และในเรื่องอื่นๆ

อะไร คือการใช้กำลังประทุษร้าย? ไม่มีระบุไว้ในกฎหมายฉบับนี้
ดังนั้นจึงต้องใช้ข้อบัญญัติของสหประชาชาติซึ่งเป็นแม่บทของการก่อการร้าย
สากล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการประทุษร้ายนั้นจะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่มี
การวางเพลิงเผา ฆ่าประชาชน วางระเบิด หรือจับตัวประกัน
เพื่อบังคับรัฐให้ยอมกระทำการตามที่ขบวนการก่อการร้ายสากลต้องการ

แล้วมาดูกันว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่
ว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมืองก็ดี เขาทำอะไรกันบ้าง?
เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าลักษณะตามข้อบัญญัติของสหประชาชาติ
และเข้าองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลหรือไม่

ปรากฏ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการชุมนุมดังกล่าวนั้นมีกิจกรรมที่กระทำเพียง
3 อย่างเท่านั้น คือการนั่งหรือยืนอย่างหนึ่ง การร้องรำทำเพลงอย่างหนึ่ง
และการกล่าวปราศรัยอีกอย่างหนึ่ง

ไม่มีการกระทำใดที่มีลักษณะวางเพลิง หรือฆ่า หรือระเบิด
หรือจับตัวประกัน
ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียหายจากการชุมนุมดังกล่าวนั้นเลย
จะมีก็แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกมือมืดใช้อาวุธสงครามถล่มจนบาดเจ็บล้มตายไป
หลายคน และถึงวันนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
การชุมนุมนั้นจึงไม่ใช่เป็นการก่อการร้ายสากล และไม่เป็นความผิดใดๆ
ตามกฎหมายฐานก่อการร้ายสากลเลย

นอกจากนั้น สำหรับตัวนายกษิต ภิรมย์
ก็เป็นที่รู้กันทั่วประเทศว่าไม่ได้เป็นแกนนำหรือไม่ได้ร่วมนำขบวนไปจัดการ
ชุมนุมที่บริเวณสนามบินทั้งสองแห่ง จึงไม่ใช่ผู้ใช้ ผู้วาน หรือผู้สั่ง
หรือผู้จัดการชุมนุม

นายกษิต ภิรมย์
เข้าเกี่ยวข้องก็เฉพาะการไปปราศรัยหลังจากมีการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว
และไปปราศรัยเป็นบางครั้งเป็นบางวันเท่านั้น
ในการปราศรัยก็ไม่เคยชักชวนหรือยุยงหรือชี้นำให้มีการเผา
ให้มีการวางระเบิด ให้มีการฆ่า หรือให้มีการจับตัวประกันใดๆ

ดัง นั้นนายกษิต ภิรมย์
จึงไม่สมควรและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำหรือเป็นผู้
ใช้ ผู้จ้าง ผู้วาน ให้มีการหรือผู้ก่อการร้ายสากล

เหตุนี้คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่สบายใจและมีความเคลือบแคลงสงสัยในใจใน
กระบวนการยุติธรรม บุคคลสำคัญในรัฐบาล ในวุฒิสภา ในสภาผู้แทนราษฎร
ในสถาบันการศึกษา และผู้นำภาคประชาสังคมต่างๆ
พากันออกความเห็นตำหนิติเตียนว่ากรณีเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหา
ที่เกินจริง

เพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์
ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และแน่นอนว่าย่อมเชื่อมโยงหรือกระทบกับการจัดขบวนไล่ล่าตามหานักโทษที่หลบ
หนีหมายจับของศาลด้วย

เรื่อง เพียงแค่นี้มีหรือที่คนไทยจะไม่รู้เท่าทัน
ดังนั้นผู้คนจึงตั้งข้อเพ่งเล็งว่ามีมือที่มองไม่เห็นที่เป็นอธรรมขยายกรง
เล็บปีศาจเข้ามายุ่มย่ามในกระบวนการยุติธรรมเพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์
ให้พ้นไปจากครรลองแห่งอำนาจ
เพื่อส่งผลให้กระบวนการตามล่าหานักโทษต้องหยุดลงไปด้วยนั่นเอง

กรณีที่เกิดขึ้นนั้นได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่าเงื้อมมือ
แห่งอธรรมที่ยุ่มย่ามเข้ามาถึงกระบวนการยุติธรรมนั้นมีพลัง
และมีขุมข่ายที่ซับซ้อนซ่อนมีดอย่างน่าจับตายิ่ง
เพราะหาไม่แล้วไหนเลยการใหญ่ถึงปานนี้จะเกิดขึ้นได้

ถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุด
ก็อาจกล่าวได้ว่าจุดนี้คือจุดพลาดของมือที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นอธรรมนั้น
เพราะแม้คนไทยจะมองไม่เห็นมือแห่งอธรรมที่เข้ามายุ่มย่ามก็ตาม
แต่ร่องรอยและหลักฐานตลอดจนความจริงที่ประจักษ์ขึ้นต่อสายตาประชาชนนั้น
ก็ทำให้คนไทยสามารถมองเห็นได้ว่าเงื้อมมือแห่งอธรรมขยุ้มขย้ำที่ตรงไหน
โยงใยไปถึงไหน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ผู้ที่ถูกปรามาสว่าเป็นเด็กน้อย มิได้หลงกลของขบวนการดังกล่าว
ดังนั้นในทันทีที่ปรากฏข่าวนี้
นายกรัฐมนตรีจึงได้แถลงข่าวแสดงท่าทีที่ให้นายกษิต ภิรมย์
ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อไป

เห็นหรือยังว่านายกรัฐมนตรีหนุ่มที่เคยถูกปรามาสนั้น
นอกจากไม่ไร้เดียงสาแล้ว ยังคมกล้าขนาดไหน
เพราะนั่นคือการรู้การเห็นการเข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

เพราะทันทีที่นายกษิต ภิรมย์ หากยื่นใบลาออกแล้ว
เป้าหมายย่อมไม่จบอยู่แค่นายกษิต ภิรมย์ เท่านั้น
แต่เงื้อมมืออธรรมนั้นจะพุ่งตรงไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไปในทันที

แหล่ง ข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคงเผยความนัยให้ได้รู้ว่า
ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์
ลาออกจากตำแหน่งนั้น ได้มีการประชุมเตรียมการอย่างน้อย 2 ครั้ง
โดยคาดหวังว่านายกษิต ภิรมย์ จะทนแรงกดดันไม่ได้ แล้วลาออก
ก็จะเกิดขบวนขับเคลื่อนต่อไปในทางเรียกร้องกดดันให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามไปด้วย

ด้วยข้อหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีทำความผิดพลาดแต่งตั้งผู้ก่อการร้ายให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่า
การกระทรวงการต่างประเทศ

มีหรือคนที่ถูกลอบสังหารอย่างน้อย 3 ครั้ง
จะไม่รู้ทันเล่ห์ร้ายที่ตื้นกว่าแบบนี้
ดังนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมีสัญญาณไปถึงนายกษิต ภิรมย์
ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ และเกิดผลต่อมาคือการแถลงยืนยันของนายกษิต ภิรมย์
ว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง

เพราะยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวง
ทั้งยังเป็นฝ่ายธรรมะที่กำลังถูกอธรรมย่ำยีบดขยี้ ณ ด่านหน้าของสมรภูมิ
โดยมีเป้าหมายใหญ่ทางยุทธศาสตร์คือตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างหาก

ความพ่ายแพ้ของนายกษิต ภิรมย์
หากเกิดขึ้นก็จะเชื่อมโยงและแยกไม่ออกกับสถานะและความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ด้วย

เพราะ เหตุนี้บรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวงและมิได้หลงกลอุบายอันร้ายกาจนี้จึง
ได้พร้อมเพรียงกัน "ประณามพาล พิทักษ์ธรรม" อย่างกึกก้องทั้งแผ่นดิน.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077417

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น