++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความมั่งคั่งของไทยให้ใครใช้?

โดย สิริอัญญา 26 กรกฎาคม 2552 15:03 น.
คำพังเพยที่มีลักษณะประชดประชันบทหนึ่งที่ว่า
"เศรษฐีก็คือยาจกถ้าหากไม่รู้จักใช้เงิน" และ
"ยาจกก็คือเศรษฐีถ้าหากมีปัญญาที่จะใช้เงิน"
โดยคำพังเพยนี้ความเป็นเศรษฐีหรือความเป็นยาจกจึงไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน
แต่อยู่ที่อำนาจและความสามารถในการใช้เงินต่างหาก

บางคนรวยล้นฟ้าแต่ไม่มีปัญญาใช้เงิน หรือไม่รู้จักใช้เงิน จะกิน
จะอยู่ ก็ล้วนลำบากยากเข็ญไปทั้งสิ้น
จนบางครั้งถูกประชดว่าเป็นเศรษฐีแต่ไม่มีไม้ขีดไฟ

บาง คนยากจนไม่มีทรัพย์สมบัติพัสถาน
แต่มีชีวิตความเป็นอยู่หรูเลิศ
ที่เป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะรู้จักใช้และมีปัญญาที่จะหาเงินมาใช้
และใช้เงินไปราวกับว่าเป็นเศรษฐีโดยมีกองหนี้เป็นพะเนินอยู่เบื้องหลัง

ดังนั้นการดำเนินชีวิตตามวิถีทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน
โดยมีเหตุมีผลโดยพอประมาณ จึงเป็นการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตรงแท้
อันจะนำความสุขให้บังเกิดขึ้นแก่ตนและแก่ท่าน

ความ จริงประเทศไทยของเราไม่ได้ยากจน
เพราะมีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ มีความมั่งคั่งมาตั้งแต่บรรพกาล
จนได้ชื่อว่าเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยของที่มีคุณค่าควรทองทั้งสิ้น

แผ่นดินไทยนี้หลายประเทศเขาเรียกว่าแผ่นดินทอง หรือ Golden Land
เรียกกันมาอย่างนี้ช้านานแล้ว เรามีภูเขาทอง
เรามีหลายท้องที่หลายท้องถิ่นที่มีทรัพยากรเป็นทองคำแท้
และหลายท้องที่ก็มีทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าทองคำเสียอีก

เรา มีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์และล้นค่ามหาศาล ไม่ว่าก๊าซ น้ำมัน
ทองคำ หรือทรัพยากรสินแร่มีค่าอื่นๆ
แต่ไม่เคยทำให้เกิดประโยชน์หรือเป็นสิทธิหรือบังเกิดเป็นรายได้แก่ประเทศ
ชาติและประชาชน เพราะเอาไปให้สัมปทานให้ต่างชาติหรือนักธุรกิจการเมืองเอาไปเป็นสิทธิ
โดยจ่ายค่าสัมปทานเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น

หากเอาก๊าซ
เอาน้ำมันและทรัพยากรทั้งหลายที่เป็นของชาติมาเป็นของชาติและประชาชน
ในวันนี้ประเทศไทยของเราไม่ต้องเก็บภาษีเอากับผู้ใดก็ยังมั่งคั่งร่ำรวย
มหาศาล

ในอวกาศเราก็มีสิทธิในวงโคจรของดาวเทียม ในอากาศก็มีคลื่นต่างๆ
มากมาย แต่เราไม่ได้ใช้ความมั่งคั่งนั้นให้บังเกิดประโยชน์แก่ชาติ
กลับไปบรรณาการให้สัมปทานแก่นักธุรกิจแล้วเอาไปขายให้กับต่างชาติ
จนคนไทยกลายเป็นทาสการสื่อสารและเป็นทาสสื่อไปสิ้นทั้งแผ่นดิน

ประเทศไทยและคนไทยมีเงินฝากกว่า 10 ล้านล้านบาท
มากกว่าผลผลิตมวลรวมทั้งประเทศเกือบเท่าตัว หรือมีมูลค่ากว่า 5
เท่าของงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี
ในขณะที่หลายชาติเขาเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว

ไม่ยกเว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกา
ที่หลายคนหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาหรือการปกครองหรือในการ
ครองชีวิต แต่แท้จริงแล้วก็คือลูกหนี้ตัวเอ้ของโลก
เป็นแบบอย่างความเหลวไหลเลอะเทอะที่สุดของสังคมมนุษย์ในยุคนี้

มายา ภาพของระบบทุนทำให้สหรัฐอเมริกาซึ่งยากจนจนมีหนี้สินล้นพ้นตัวกลายเป็นชาติ
มหาอำนาจ และมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะชี้นิ้วบงการใครที่ไหนก็ได้

ในขณะที่ประเทศไทยและคนไทยมีความมั่งคั่งสมบูรณ์
กลับกลายเป็นประเทศที่ถูกเขาบ่งชี้กดหัวลงเป็นทาส
และปล้นสะดมเอาความมั่งคั่งของประเทศชาติไปใช้อย่างมันมือ

ประชาชน ไทยทั้งประเทศมีเงินฝากรวมกันนอนนิ่งอยู่ในระบบสถาบันการเงินร่วม
10 ล้านล้านบาท แต่บรรดาผู้ฝากเงินทั้งประเทศกลับต้องเดือดร้อนทุกข์เข็ญ
เพราะถูกผู้รับฝากเงินกดขี่ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ
ถึงขั้นให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% ต่อปีไปแล้ว

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติเราที่ผู้มีเงินฝากต้องได้รับ
ความเดือดร้อนถึงปานนี้
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยถูกกดขี่ข่มเหงให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำต้อย
ถอยหลังถึงเพียงนี้เลย
แม้ในกฎหมายแพ่งก็ยังบัญญัติเป็นบรรทัดฐานเอาไว้ว่า
ถ้าไม่ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยกันไว้ และมีการผิดนัดผิดสัญญา
ก็ให้คิดค่าดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

คนฝากเงินทั้งประเทศพากันเดือดร้อน
แต่ในขณะเดียวกันคนกู้เงินทั้งประเทศก็เดือดร้อนหนักกว่า
เพราะถูกคิดเอาดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าชาติไหนในโลก
มิหนำซ้ำยังข่มเหงน้ำใจไม่ยอมปล่อยกู้ หรือปล่อยกู้เอาตามอำเภอใจ
ตามแรงสินบาทแรงสินบนที่บรรณาการให้
ซึ่งว่ากันว่าในวันนี้มีการชักเปอร์เซ็นต์กันถึง 30% กันแล้ว

หมาย ความว่าใครกู้เงินในระบบที่ว่านี้ก็เป็นอันไม่ต้องใช้หนี้
ปล่อยให้ชาติบ้านเมืองต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้แทนด้วยมาตรการอันซับซ้อน
ซ่อนเงื่อนของเหล่าเทคโนแครตทางการเงิน

กลายเป็นว่าความมั่งคั่งของประชาชนชาวไทยที่สั่งสมกันมา
กลับไม่มีใครได้ประโยชน์ รัฐบาลก็ไม่กู้เงินจากประชาชนเอาไปใช้
ภาคธุรกิจหรือประชาชนจะกู้เงินมาใช้เองเขาก็ไม่ให้
และเมื่อเงินมีต้นทุนนอนนิ่งๆ อยู่ถึงกว่า 10 ล้านล้านบาทเช่นนี้
จึงเป็นที่มาของการกดหัวข่มเหงในการให้ดอกเบี้ยอันสุดต่ำแค่ไม่ถึง 1%

รัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่ายอยู่เสมอ
แทนที่จะนำเอาความมั่งคั่งของชาติมาพัฒนาชาติบ้านเมือง
โดยออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากประชาชนโดยตรงในอัตราดอกเบี้ยที่สูงสักหน่อย
กลับเกรงว่าสถาบันการเงินจะขาดทุนเพราะจะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ซึ่งหากเพิ่มเพียง 1% เท่านั้น บรรดาผู้ฝากเงินก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง
100,000 ล้านบาทต่อปี

จึง ได้ใช้วิธีกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแทน
ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมไม่ให้มีการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจซึ่งมีความ
เสี่ยงมากกว่า หรือไม่เมื่อเกรงข้อครหาก็ไปทำสัญญากู้เงินมาจากต่างประเทศไปเสียเลย
ซึ่งต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมเงินกู้และดอกเบี้ยที่สูงกว่า
มิหนำซ้ำยังต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้กำหนด
ทำราวกับว่าประเทศไทยเป็นขี้ข้าของต่างชาติฉะนั้น

เป็นอันว่าเราไม่ได้ใช้ความมั่งคั่งของชาติมาพัฒนาประเทศของเรา
ปล่อยให้ผู้ฝากเงินต้องเดือดร้อนและเสียหาย
ในขณะเดียวกันกลับบากหน้าไปกู้เงินคนอื่นมาใช้โดยมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
และยอมรับเงื่อนไขในลักษณะยอมตนลงเป็นทาสอีกด้วย

เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในชาติไหนในโลกนี้
บังเกิดมีขึ้นก็เฉพาะแต่ประเทศไทย
ภายใต้นักการเมืองผู้ชาญฉลาดในการทำนุบำรุงประเทศชาติที่ดีแต่การฉ้อฉลปล้น
ชาติปล้นแผ่นดินเท่านั้น

เมื่อประชาชนผู้ฝากเงินถูกกดขี่ข่มเหงมากเข้า
และมีความเดือดร้อนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต้อยเช่นนั้นก็พากันสุ่มเสี่ยงลง
ทุนในประเภทต่างๆ จนเป็นเหตุให้ถูกต้มตุ๋นฉ้อฉลจนเดือดร้อนกันเป็นอันมาก
นี่ก็เป็นผลโดยตรงอย่างหนึ่งจากการดำเนินนโยบายของเทคโนแครตหมาจิ้งจอกทาง
การเงินของประเทศไทย

ในวันนี้มีการตั้งกองทุนมากหลายเพื่อระดมทุนจากบรรดาผู้ฝากเงินใน
ประเทศเอาไปให้ต่างชาติใช้สอย โดยการไปลงทุนซื้อตราสารหนี้ในต่างประเทศ
ซึ่งประหนึ่งว่ามีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
โดยหามีผู้ใดกล่าวเตือนถึงความเสี่ยงภัยในการลงทุนนั้นตามความเป็นจริงเลย
ปล่อยให้พี่น้องร่วมชาติต้องเผชิญหน้าชะตากรรมที่เสี่ยงต่อทรัพย์สินของตน
อย่างน่าเวทนายิ่ง

เงิน ฝากของคนไทย ทรัพย์สินของคนไทย
แต่ไม่ได้คิดอ่านนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง
กลับนำเอาไปให้ต่างชาติใช้สอย
แล้วรัฐบาลก็ไปกู้เงินต่างชาติกลับมาพัฒนาประเทศจนเป็นเหตุให้ถูกกำหนด
เงื่อนไขบังคับประเทศไทยให้กลายเป็นประหนึ่งข้าทาส
จึงเป็นเรื่องน่าอนาถใจนัก

ในระยะนี้รัฐบาลมีโครงการกู้เงินมาใช้จ่ายถึง 800,000 ล้านบาท
และได้เริ่มนำร่องไปบ้างแล้ว โดยการออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนจำนวน
50,000 ล้านบาท และให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.8% ต่อปี
ทำให้บรรดาประชาชนผู้ฝากเงินค่อยมีประกายสายตาสุกใสขึ้นมาบ้าง
แต่มันยังไม่พอ

ดังนั้นในวันนี้จึงขอสะกิดมายังคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาว่ามีทางที่จะกันวงเงินกู้ดังกล่าวสัก
200,000-300,000 ล้านบาท มาเป็นการกู้เงินในประเทศ
โดยการออกพันธบัตรขายแก่ประชาชน และให้อัตราดอกเบี้ย 3.8-4% ต่อปี
ก็น่าจะดีกว่าข้อแนะนำของเหล่าเทคโนแครตหมาจิ้งจอกทางการเงินไม่ใช่หรือ?

ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนไทยเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่บังเกิดอาณาประโยชน์มากมายหลายสถานนัก.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084437

อ่านแล้วดีมาก ผู้เขียน เป็นผู้รักชาติโดยแท้ ต้องหาคนเก่ง คนกล้า
อย่างผู้เขียน สิริอัญญา มาร่วมมือกันให้มากๆ ขึ้น เป็นกำลังใจให้ ครับ
เพื่อสร้างชาติของเราให้แข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ต่อไปครับ
Por_p9@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น