++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พธม.ฟ้องกลับตร. : การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม

โดย สามารถ มังสัง


ในขณะที่ พธม.ทุกคนกำลังรอฟังผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ในกรณีที่
พธม.ถูกทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ และส่วนหนึ่งได้ถึงแก่ความตาย
ว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง และควรจะได้รับโทษสถานใดอยู่ด้วยใจจดใจจ่อ
ด้วยอยากรู้อยากเห็นว่าบ้านนี้เมืองนี้
ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีและร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม
จะได้รับการคุ้มครองป้องกันจากผู้ปกครองประเทศโดยมีกฎหมายเป็นเครื่องมือใน
การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคนโดยเสมอภาคตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอยู่นั้น
จู่ๆ พธม.ก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟ้อง พธม. 36 คน
ด้วยข้อหา "ก่อการร้าย" ในกรณีที่
พธม.กลุ่มหนึ่งได้ไปปิดล้อมสนามบินดอนเมือง
และสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551

ในทันทีที่ข่าวนี้ปรากฏออกมา
ทำให้บรรดาท่านผู้รู้เรื่องกฎหมายหลายคนพากันงงกับข้อหา "ก่อการร้าย"
ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง เพราะพิจารณาดูในแง่ของกฎหมาย และพฤติกรรมที่
พธม.แสดงออกแล้วมองไม่เห็นเหตุและผลอันใดที่จะแปลความได้ว่า
การเดินขบวนเรียกร้องทางการเมืองที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิกระทำได้ภายใต้
กฎหมายรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร
ถ้าจะมองอย่างตรงไปตรงมาก็ตั้งข้อหาได้อย่างมากก็แค่บุกรุกสถานที่ราชการ
และขัดขวางการจราจร ส่วนจะเลยเถิดไปถึงขั้นเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น
พูดได้เพียงว่าเป็นการตั้งข้อหาที่เกินจริง

และที่พูดเช่นนี้มิได้เป็นการพูดเลื่อนลอย หรือเข้าข้าง
พธม.เพราะแม้แต่นายศรีราชา เจริญพานิช
เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังกล่าวว่า
"แม้ว่าการกระทำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการยึดสนามบินจะ
เป็นเรื่องที่ผิด ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ
แต่การตั้งข้อหาแกนนำ และแนวร่วมพันธมิตรฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกษิต
ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถึงขั้นเป็นผู้ก่อการร้ายนั้นถือว่าเกินกว่าเหตุ
เพราะพันธมิตรฯ แค่ชุมนุมอยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปในศูนย์บังคับการบิน
จะถือว่าเป็นการตั้งข้อหาว่าก่อการร้ายไม่ได้
และข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาทางการเมือง"
นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างแห่งความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งข้อหาก่อการ
ร้าย และถ้ามีการสำรวจความคิดเห็นอย่างเปิดเผยจากคนทั่วๆ
ไปที่พอจะมีความรู้เรื่องกฎหมาย ก็คงจะได้คำตอบทำนองเดียวกัน

ด้วยนัยแห่งความเห็นดังกล่าวข้างต้น
พอจะทำให้มองเห็นการตั้งข้อหา
พธม.ในครั้งนี้ว่ามีเลศนัยบางประการซ่อนเร้นยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ง่ายๆ

แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้ามองให้ลึกลงและกว้างออกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตย้อนหลังไปถึง
เหตุการณ์ชุมนุมขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในปลายปี 2548-2549
ก็พอจะมองเห็นสาเหตุแห่งการตั้งข้อหาที่ว่านี้ได้ไม่ยาก
ทั้งนี้โดยอาศัยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. รัฐบาลภายใต้การนำของอดีตนายตำรวจ
ย่อมมีสายสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการตำรวจในรุ่นเดียวกัน และรุ่นใกล้เคียง
ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกที่ข้าราชการตำรวจจะเข้าข้างรัฐบาล
และพวกพ้องของรัฐบาลภายใต้การนำของอดีตนายกฯ ทักษิณ
โดยอาศัยความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่ และความเป็นน้องจากสถาบันเดียวกัน

2. อดีตนายกฯ ทักษิณ นอกจากเคยรับราชการเป็นตำรวจแล้ว
ยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
มีความร่ำรวยมากพอที่จะใช้เงินเพื่อดึงข้าราชการเกือบจะทุกวงการเข้ามาช่วย
เหลือเกื้อกูลเมื่อยามมีความจำเป็นต้องใช้อำนาจรัฐแก้ไขปัญหาให้แก่ตนเองและ
พวกพ้อง รวมไปถึงการตอบโต้อริศัตรูในทางลับด้วย

จากปัจจัย 2 ประการดังกล่าวข้างต้น
เชื่อได้ว่าน่าจะมีส่วนให้แกนนำพันธมิตรฯ
ถูกตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าเหตุได้
ส่วนว่าเมื่อตั้งข้อหาแล้วจะได้รับตามนั้นหรือไม่ประการใดนั้น
เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมในขั้นต่อไป
นับตั้งแต่อัยการจะสั่งฟ้องตามข้อหานี้หรือไม่
หรือแม้กระทั่งอัยการสั่งฟ้องตามนี้ศาลจะประทับรับฟ้องหรือไม่
หรือแม้จะรับฟ้องจะตัดสินลงโทษหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอดูกันต่อไป

แต่ที่น่าสังเกตและน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งก็คือว่า
การเดินขบวนประเทศไหนในโลกที่ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป
ไม่มีให้เห็น จะมีให้เห็นก็เพียงความแตกต่างของประเภทแห่งความเดือดร้อน
และความรุนแรงเท่านั้น และที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุและปัจจัยดังต่อไปนี้

1. โดยปกติแล้วการเดินขบวนเรียกร้องใดๆ จากรัฐบาล
ก็จะต้องกดดันให้รัฐบาลเดือดร้อน
และพบกับปัญหาบีบคั้นทางการเมืองเพื่อยินยอมทำตามเงื่อนไข

2. การกระทำตามข้อ 1
แน่นอนว่าถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติและเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของบุคคลใด
บุคคลหนึ่งอันเป็นส่วนน้อยของสังคม
ก็จะถูกสังคมส่วนใหญ่หรือโดยรวมลุกขึ้นมาต่อสู้ขับไล่
โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องออกมาจัดการ

แต่ที่การเดินขบวนก่อความเดือดร้อนเฉกเช่นที่ว่านี้ได้
ก็ด้วยคนส่วนใหญ่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแก่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการ
เรียกร้องเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมเท่านั้น

เมื่อผลเป็นเช่นนี้ การกระทำผิดเล็กน้อย เช่น ขัดขวางการจราจร
หรือแม้กระทั่งบุกรุกสถานที่ราชการ โดยไม่มีการทำลายทรัพย์สิน
และทำร้ายร่างกายใครให้ได้รับบาดเจ็บ ดังเช่นกรณีบุกสนามบินของพันธมิตรฯ
นั้น น่าจะมองข้ามไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงดังที่ตำรวจตั้งข้อหา
แต่ควรจะถือเป็นลหุโทษ เมื่อดูจากเจตนาและวิธีการที่พันธมิตรฯ ได้กระทำ

ไม่ว่าตำรวจจะตั้งข้อหาอย่างไร และพันธมิตรฯ
ในฐานะผู้ต้องหาจะแก้ต่างอย่างไร
เรื่องนี้ถ้ามองในแง่ของการเมืองแล้วควรจะแก้ด้วยการเมือง
ไม่ควรแก้โดยการนำประเด็นทางกฎหมายหรือการนำอำนาจทางนิติศาสตร์มาใช้เพียง
อย่างเดียว แต่ควรจะนำเอารัฐศาสตร์มาพิจารณาร่วมด้วย
โดยมองที่เจตนาของการเดินขบวนเป็นหลักว่า ทำเพื่ออะไร
และมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ใครเป็นที่ตั้ง
อย่ามองว่าเป็นการขับไล่บุคคลเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลเท่านั้น
แต่ให้มองว่าเป็นการขับไล่ตัวการที่ก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติโดยรวม
และต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยนำสิ่งที่ดี บุคคลที่ดีมาแทน
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ในทางที่ดี
หรือไม่ดีกว่าก็ไม่ควรจะเลวเท่าเดิม

ด้วยเหตุที่ว่ามานี้ การที่พันธมิตรฯ
จะฟ้องกลับตำรวจถือได้ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมนั่นเอง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000078841

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น