++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"เหยียด-ยืด" พิชิต "ออฟฟิศซินโดรม"

เชื่อว่า ในปัจจุบันนี้ มีหนุ่ม-สาวออฟฟิศ จำนวนไม่น้อย
ที่กำลังมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตการทำงานในสำนักงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นการนั่งใช้
คอมพิวเตอร์นานๆ และเมื่อเลิกงานก็ต้องใช้เวลานานนับชั่วโมงขับรถกลับบ้าน
แต่ด้วยความสดของสังขารวัยทำงาน อาจจะทำให้หลายคนละเลยการดูแลร่างกาย
และเพิกเฉยต่ออาการปวดเมื่อยนี้ โดยหารู้ไม่ว่า
อาการเหล่านี้เองจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาใหญ่ในภายหน้า
ที่จะส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตต่ำลง

นิสากร ประดิษฐ์พงษ์ หัวหน้าฝ่าย Medical Spa ประจำโรงพยาบาลนครธน
ให้ข้อมูลว่า สำหรับคนที่ต้องทำงานในออฟฟิศ
และมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตลอดจนอาการเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น
ปวดศีรษะหรือไมเกรน หากแก้ไขที่ปลายเหตุด้วยการรับประทานยา
อาการอาจจะหายแบบชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็จะกลับมาเป็นอีก
ก็ต้องรับประทานยาอีก จะวนเวียนอยู่เช่นนี้ไม่จบ และที่แย่กว่านั้นก็คือ
ยาที่รับประทานจะเข้าไปสะสมในร่างกาย
ทำลายตับและส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

แต่หากเจ้าของร่างกายเพิกเฉยละเลยไม่สนใจจะแก้ไขปัญหาการปวดเมื่อย
ของตนเอง และยังคงใช้ชีวิตคนทำงานออฟฟิศแบบเดิมๆ คือ
นั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หลายชั่วโมงโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
ไม่หาเครื่องช่วยเช่นเก้าอี้รองเท้าหรือหมอนหนุนหลัง
ไม่มีการพักยืดเส้นยืดสาย ตกเย็นก็ต้องขับรถกลับบ้าน ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ
เนื่องจากจราจรติดขัด ถึงบ้านก็ล้มตัวลงนอน
ตื่นเช้ามาร่างกายอาจจะคลายความปวดเมื่อยลงเล็กน้อยด้วยเพราะได้พักผ่อน
แต่เมื่อถึงที่ทำงาน ใช้ชีวิตซ้ำๆ แบบเดิม อาการปวดก็จะกลับมา
แม้ในระยะแรกอาจจะทนได้ แต่หากปล่อยไปจะเกิดปัญหาใหญ่แน่

"ถ้า ปล่อยอาการปวดเมื่อยให้เรื้อรัง 5-10 ไม่ดูแล
ร่างกายมีปัญหาแน่ ทางแพทย์แผนไทยเขาเรียกอาการนี้ว่ากระษัยเส้น
ถ้าไม่ใส่ใจอาการเมื่อยจะกลายเป็นความปวด และไล่ลามไปทุกส่วนของร่างกาย
เริ่มจากที่คอ บ่า ไหล่
สามจุดนี้เป็นจุดปวดพื้นฐานของคนที่นั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ

จาก นั้นมันจะลามไปสะบัก เอว และหลัง
ส่วนด้านบนเมื่อปวดต้นคอเรื้อรังเพราะกล้ามเนื้อตึง
ก็จะส่งผลให้เลือดลมเดินไม่ดี และมีโอกาสที่อาการปวดนี้จะขึ้นไปถึงศีรษะ
เนื่องจากเมื่อเลือดลมเดินไม่สะดวก เลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองก็ไม่เต็มที่
บางคนปวดศีรษะ บางคนปวดแค่ครึ่งเดียว และเข้าใจว่า เป็นอาการของไมเกรน
ไปรับประทานยาไมเกรนก็ไม่ได้ผล
เนื่องจากต้นตอของปัญหาอยู่ที่อาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ"

หัวหน้าฝ่าย Medical Spa
รายนี้ให้ภาพของปัจจัยที่ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกายต่อไป
อีกว่า หลังจากละเลยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อส่วนบนของร่างกายแล้ว
กล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกายก็ถูกทรมานไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะจากการขับรถไปกลับที่ทำงานทุกวัน
โดยท่านั่งขับรถจะต้องนั่งเกร็งเพื่อเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง
หรือเหยียบเบรก ส่งผลให้กล้ามเนื้อท่อนล่างต้องรับบทหนัก
ยิ่งการขับรถในเมืองใหญ่ที่การจราจรติดขัดที่ในการเดินทางแต่ละครั้งกินเวลา
นานนับชั่วโมง

"การ นั่งขับรถนานๆ จะทำให้หลอดเลือดขาส่วนบนรับภาระหนัก
ส่งผลให้ขาชา เลือดลมเดินไม่สะดวก หัวเข่าจะมีปัญหาในระยะยาว
คือเสื่อมก่อนวัยอันควร
แต่คนขับรถส่วนใหญ่มักจะมองเป็นอาการเมื่อยธรรมดาจากการขับรถและไม่ใส่ใจ
ดูแล ซึ่งในความเป็นจริงการดูแลตัวเองนั้นสำคัญมาก
และมันคือการกตัญญูต่อสังขารของเราอีกด้วย
ไม่ใช่ว่าใช้มันอย่างเดียวโดยไม่ดูแลเลย"

และเมื่อบอกเล่าถึงความเสียหายทางสุขภาพหากละเลยอาการปวดเมื่อยกล้าม
เนื้ออันเนื่องมาจากโรคออฟฟิศซินโดรมแล้ว นิสากร
ก็มีคำแนะนำในการดูแลสุขภาพและป้องกันอาการเหล่านี้แบบทำได้เองที่บ้าน
ด้วยท่า "ยืด-เหยียด" แบบง่ายๆ นี่เอง

ท่าแรก เป็นท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อบ่า ไหล่ และต้นคอ
เริ่มจากหายใจเข้าเต็มที่ทางจมูก และค่อยๆ ผ่อนออกทางปาก พนมมือหว่างอก
กางศอกออกให้เป็นระนาบเดียวกับพื้น ค่อยๆ ยกมือที่พนมขึ้นเหนือศีรษะช้าๆ
และเคลื่อนมาด้านหลังศีรษะเหนือท้ายทอย ให้รู้สึกตึง จากนั้นคลายมือออก
ทำประมาณ 5-10 ครั้ง

ท่าที่สอง เป็นท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก เริ่มจากด้านซ้ายก่อน
โดยการเหยียดมือซ้ายไปด้านขวาผ่านหน้าอก
จากนั้นใช้มือขวากดแขนซ้ายให้รู้สึกตึง จากนั้นเปลี่ยนสลับทำด้านขวาบ้าง
5-10 ครั้ง

ท่าที่สาม เป็นท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อท้องแขน
เริ่มที่ข้างซ้ายก่อนเช่นกัน
ตั้งศอกซ้ายขึ้นข้างศีรษะใช้มือขวาแตะเหนี่ยวตรงข้อศอก ดึงให้รู้สึกตึง
ทำสลับกับด้านขวา 5-10 ครั้ง

ท่าที่สี่ เป็นท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อขา เริ่มที่ขาซ้ายก่อน
โดยก้าวขาขวามาข้างหน้า ย่อขาขวาจนขาซ้ายที่อยู่ด้านหลังรู้สึกตึง
ทำสลับกับขาขวา 5-10 ครั้ง

ท่าที่ห้า เป็นท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องที่มักจะเป็นตะคริวง่าย
โดยเฉพาะกรณีคนที่ขับรถบ่อยๆ วิธีทำคือเหยียดขาซ้ายออกมาข้างหน้า
เปิดฝ่าเท้า จิกส้นเท้าบนพื้น งอขาขวาจนขาซ้ายรู้สึกตึง ทำสลับกับขาขวา
5-10 ครั้ง

และปิดท้ายด้วย ท่าที่หก คือการหมุนเข่า ทำสลับซ้ายขวาข้างละ 20
ครั้ง ทั้งหมด 6 ท่านี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ซึ่งหากทำได้ทุกเช้าก่อนอาบน้ำ
กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักจนเมื่อยล้าจากวันก่อน
ก็จะถูกยืดถูกเหยียดจนหายปวด
และร่างกายก็จะกะปรี้กะเปร่าพร้อมสำหรับงานวันใหม่แล้ว

นิสารัตน์ ยังทิ้งท้ายอีกด้วยว่า โดยมากแล้ว
คนจำนวนมากมักจะให้เหตุผลยอดฮิตของการไม่ออกกำลังกายว่า ไม่มีเวลา
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเหตุเป็นนี้เป็นเพียงข้ออ้าง
เพราะการออกกำลังกายเพียงสุขภาพนั้นทำได้ง่ายและไม่ใช้เวลามากนัก
ขึ้นอยู่แต่เพียงว่าเจ้าของร่างกายใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองหรือไม่เท่านั้น
การออกกำลังกายกล้ามเนื้อด้วยการยืดเหยียดนี้ใช้เวลาไม่มาก
ไม่ต้องเตรียมตัว เตรียมเสื้อผ้ารองเท้าหรือต้องเดินทางไปฟิตเนส
หรือสถานที่ออกกำลังกายใดๆ
แค่พื้นที่ข้างเตียงในยามที่ตื่นเช้าโดยยังไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟันก็ทำได้
หรือจะเป็นยามเที่ยงหลังรับประทานอาหารแล้วครู่ใหญ่
ก่อนจะเริ่มงานในช่วงบ่าย
เพื่อลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อที่กรำงานมาตลอดเช้าก็ยังได้
ยิ่งถ้าเป็นท่าออกกำลังกายช่วงบนแล้ว
นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสุขภาพกล้ามเนื้อให้ใช้งานต่อไปได้อีกนานๆ
อย่างไม่เจ็บป่วยหรือเจ็บปวด

"ส่วน คนที่อยากออกกำลังกายแต่ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเวลาไปฟิตเนส
ไม่ได้ออกไปวิ่ง กลับบ้านก็มืดแล้ว แนะนำวิธีง่ายๆ
ในการออกกำลังกายและได้ผลดีมากก็คือการแกว่งแขน
โดยการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นและลงไปในทางเดียวกัน 300 ครั้งต่อวัน
ทั้งยังเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
เป็นการออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุก็ทำได้ด้วยค่ะ"
นิสารัตน์ ทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074584

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น