++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน 15 กรกฎาคม 2552 08:55 น.
คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก
สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ได้ทวีความหวาดวิตกไปทั่วทุกที่ จนถึงขณะนี้มีตัวเลขผู้ป่วย
และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

ประเด็นความหวาดวิตกในเรื่องนี้ขยายไปทั่วทุกพื้นที่
โดยเฉพาะคนเป็นพ่อแม่ ที่จะเกิดอาการวิตกเพราะเป็นห่วงลูก
และมีการพูดคุยถึงประเด็นนี้กันไปทุกหย่อมหญ้า
แม้ความพยายามของภาครัฐที่ส่งสัญญาณมาตั้งแต่ต้น ว่า
ประชาชนไม่ต้องกังวลจนเกินไป สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องตื่นตระหนก
เพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่รุนแรง สามารถหายเองได้

ในตอนแรกประชาชนก็สับสนข้อมูลเหมือนกัน
เพราะภาครัฐบอกว่าไม่ต้องกังวล
ในขณะที่ทั่วโลกก็เห็นอยู่ว่ามีการแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็ตื่นตัวในการป้องกันเจ้าไข้หวัดใหญ่
และประกาศมาตรการป้องกันสาธารณสุขชนิดเข้มงวด

เขียนบ่นไปก็เท่านั้น
เพราะในที่สุดเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากซะแล้ว

ฉะนั้น การรณรงค์ให้ผู้คนป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธีคือเรื่องเร่งด่วน
และจำเป็นที่สุด

"ของร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" เป็นคำเก๋รณรงค์ในช่วงแรก
แต่ก็เป็นเรื่องที่เรารับรู้กันอยู่แล้ว
แต่อยู่ที่ว่าจะลงมือจริงจังกันมากน้อยแค่ไหน

แต่ประเด็นที่ไม่ค่อยพูดถึง คือ
เรื่องขอความร่วมมือให้ใส่หน้ากากอนามัย
ที่ยังไม่มีการรณรงค์อย่างจริงจังและให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างทั่วถึง

เนื่องเพราะการรับรู้ข้อมูลเบื้องต้นของผู้คน ก็คือ
การใส่หน้ากากอนามัยจะใส่เฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น
หรือว่าคนที่ไม่ได้ติดเชื้อก็ควรใส่ป้องกันไว้ด้วย
แต่พอบางคนใส่ป้องกันไว้ก่อน กลับถูกรังเกียจจากผู้คนรอบข้าง
เพราะมีคนมองว่าเป็นผู้ป่วยซะอีก ก็เลยไม่มีคนเข้าใกล้

แท้ ที่จริงแล้วรัฐบาลจะขอความร่วมมือ
หรือมีมาตรการต่อเรื่องนี้อย่างไรก็เอาให้ชัดเจน
เพื่อแก้ความคิดใหม่ให้การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องที่ควรป้องกันตัวเองจะดีกว่าไหม

ขณะเดียวกัน ก็มีผู้คนสับสนข้อมูลเรื่องการใช้หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง

มีสาวออฟฟิศ 2 คน ถกเถียงกันว่าควรใส่หน้ากากอนามัยอย่างไร
บางคนบอกว่าแค่ปิดปากปิดจมูก บางคนบอกว่าต้องใส่ถึงคาง
เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด

บางคนได้ข้อมูลว่าถ้าคนเป็นไข้หวัดให้เอาด้านที่มีสีออก
ถ้าไม่ได้เป็นให้เอาด้านสีขาวออก

บางคนเอาหน้ากากที่ตัวเองใส่แล้วส่งให้คนที่หายใจฟึดฟัด
แล้วบอกว่าเอาไว้ใส่สิ เราไม่ได้เป็น เธอเป็นก็ใส่ซะ

บางคนก็ใส่หน้ากากเป็นสัปดาห์โดยไม่เปลี่ยน

เรียกว่าตอนนี้ปัญหาใหญ่ ก็คือ
เรื่องความสับสนของการใช้หน้าการอนามัยที่ถูกวิธี ต้องทำอย่างไร..!!

ที่หนักไปกว่านั้น ก็คือ ความไม่ตระหนักว่าต้องใส่หน้ากากอนามัย
ทั้งที่เวลาผู้ป่วยไอ 1 ครั้ง เชื้อโรคสามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตร
เชียวค่ะ

ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างความเข้าใจ
ให้ผู้คนเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการใส่หน้ากากอนามัย
เนื่องเพราะปัจจุบันผู้ที่ใส่หน้ากากอนามัยยังเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยมาก
เมื่อเทียบกับสถานการณ์การเผยแพร่อย่างรวดเร็วอยู่ในขณะนี้

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ประเภท

หนึ่ง - หน้ากากผ่าตัด ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด
ป้องกันเชื้อโรคได้ 5 ไมครอน หรือป้องกันได้ ร้อยละ 80
มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วัน หากเกิดการฉีกขาด และมีรอยเปื้อน
ควรทิ้งทันที การสวมใส่ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก
หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง ซึ่งหากใส่ผิด
รอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก

หน้ากาก N95
สอง - หน้ากาก N95 ป้องกันเชื้อโรคได้ 0.3 ไมครอน
กรองได้ละเอียดกว่าชนิดแรก หน้ากากมีแบบชนิดที่มีวาล์ว
เพื่อให้หายใจได้สะดวก ส่วนชนิดที่ไม่มีวาล์วได้รับความนิยม เพราะราคาถูก
แต่มีข้อเสียอยู่ที่หากใส่ไปนานๆ ทำให้หายใจลำบาก
จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่
เพราะอาจทำให้เด็กเสียชีวิต ขณะเดียวกัน หากชำรุด
หรือเห็นสภาพไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ ควรทิ้งทันที
การสวมหน้ากากแบบผ่าตัด ต้องจับสายด้านข้างดึงแล้วร้อยกับหู
ส่วนแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอก เพื่อประคอง และดึงสายสวม

ข้อควรปฏิบัติก่อนใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง
1.ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมหน้ากากอนามัย
2.ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง
เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย
3.เมื่อทำการสวมใส่
ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านใน ที่แนบกับจมูกและปาก
เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้
4.ควรสวมหน้ากากอนามัยให้พอดีกับหน้า โดยเฉพาะบริเวณสันจมูก
ด้านที่มีโลหะจะอยู่บนสันจมูก
5.หน้ากากอนามัยจะมีสองสี เอาสีเข้มออกด้านนอก สีจางอยู่ชิดจมูก
6.สายรัดหรือยางที่ไว้สำหรับคล้องควรจะผู้ให้พอดี
และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
7.ถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน

ในต่างประเทศที่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง
รวมถึงการให้ประชาชนในบ้านเขาใส่หน้ากากอนามัย
ซึ่งประชาชนก็ตื่นตัวและป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นจะใส่หน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวัน
และภาครัฐของเขาเห็นความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก
มีหน้ากากอนามัยอย่างเพียงพอ เพราะช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ระบาดหนัก ภาครัฐเร่งสั่งผลิตทั้งในประเทศและสั่งซื้อจากประเทศอื่นอย่างทันท่วงที

และหนึ่งในประเทศอื่นที่ว่าก็คือประเทศไทย
ที่ญี่ปุ่นมากว้านซื้อไปล็อตใหญ่ให้คนในชาติเขาได้ป้องกันตัวเอง
พอถึงคราวประเทศไทยระบาดบ้าง คราวนี้ก็ถึงคราว หน้ากากอนามัยขาดแคลนไปซะ
และนั่นหมายความว่าหน้ากากอนามัยเท่าที่มีอยู่ก็จะมีราคาสูง
จากราคาผืนละไม่เกิน 5 บาท ก็สูงถึงผืนละ 20 บาท จนกระทั่งล่าสุด
พบว่ามีบางรายขายเข้าไปได้ผืนละ 100 บาท

สะท้อนวิสัยทัศน์ผู้บริหารบ้านเราเป็นอย่างดี...!!!

เมื่อ เป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าคิดว่า นี่คือ
การหากินบนความทุกข์ของผู้คน ก็อย่ากระนั้นเลย
เราสามารถประดิษฐ์หน้ากากอนามัยเองได้ โดยใช้วัสดุ เช่น ผ้าสาลู ผ้าฝ้าย
ผ้ายืด ผ้าอ้อมเด็ก ฯลฯ มาทำเองก็ได้
ในบางประเทศเขาถึงขนาดทำหน้ากากลวดลายสารพัดกลายเป็นแฟชั่นหน้ากากอนามัยไป
อีกต่างหาก

ว่าแล้ว...ก็ต้องดูแลตัวเองและคนที่คุณรักให้ถูกวิธีนะคะ

ทำไงได้เกิดเป็นพลเมืองไทยก็ต้องอดทนเก่งอย่างนี้ล่ะค่ะ

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079578

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น